Docchula Community
Docchula Public Board => แนะนำการศึกษาต่อคณะแพทย์จุฬาฯ => Topic started by: จั่นเจา on February 08, 2009, 04:21:27 am
-
พี่ขา ให้กำลังใจหนูด้วย
หนูอ่านมาทั้งวันจนตอนนี้ยังไม่ได้นอนเลย
หนูอยากเป็นหมอมากเลยค่ะ
ทั้งๆที่บางทียังแก้โจทย์เลขม.3 บางข้อไม่ได้เลย
แต่หนูก็พยายามทำให้เต็มที่ค่ะ :'(
-
นอนเป็นสิ่งสำคัญนะครับน้อง
ถ้าใจไหว แต่ร่างกายไม่ไหว ก็ไม่ดีนะ
ต้ิองพักผ่อนๆ เยอะ
,,
นอนเต็มอิ่ม ท้องอิ่ม แล้วค่อยมาฟัดกับโจทย์ต่อ
โจทย์ไหนที่ทำไม่ได้ได้ก็คิดซะว่าเราทำไม่ได้ตอนนี้เท่านั้น แล้วก็รีบทำความเข้าใจจะได้ไปพิชิตมันได้ในห้องสอบจะ
สู้ๆนะจ๊ะน้อง พี่เป็นกำลังใจให้ 8) 8) 8)
-
การอดหลับอดนอนอาจจะทำให้น้องอ่านได้ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรนะน้อง
พักผ่อนให้พอก่อนแล้ว่อยมาอ่่านดีกว่าน้า :)
-
ตอนอยู่ ม.ปลาย พี่ก็ทำโจทย์เลข ม.3 ไม่ได้เหมือนกันครับน้อง :P
พักผ่อนบ้างนะครับ อย่าหักโหมจนเสียสุขภาพ
ขอให้พยายามต่อไปนะครับ แล้วมาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว docchula นะครับ :)
-
พยายามเดินทางสายกลางนะน้อง
ไม่นอนเลยไม่ดีแน่ๆ
แต่ถ้านอนทั้งวัน ก็ เอ่อ...
สู้ครับน้อง พี่ดีใจที่น้องมีความพยายามมากนะ
แล้วเจอกันครับ ตอนรับน้อง โฮะๆๆๆ
-
ใจเย็นๆ อย่าหักโหมนะครับ
อ่านเท่าที่ไหว ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น
เพื่อนพี่หลายคน เข้าหมอมาด้วยคะแนนไทย สังคมครับ :P
-
สู้ๆ ละกันนะครับ อย่าเครียดมากเกินไป มันไม่ดีต่อร่างกาย
-
สู้ ๆ นะครับ พยายามให้เต็มที่ อย่าหักโหมมากล่ะ ^^"
-
ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากค่ะ วันนี้หนูจะนอนให้เร็วกว่านะคะ 8)
-
ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากค่ะ วันนี้หนูจะนอนให้เร็วกว่านะคะ 8)
เวลาโพสต์....... ตี 2
นี่นอนเร็วแล้วชิมิ :P
-
อ่ะ
เอากำลังใจไป!!!
-
อ่ะ..สู้เค้าครับน้อง
เป็นกำลังใจให้ละกานนะครับ
-
ขอบคุณพี่ๆทุกคนมากค่ะ วันนี้หนูจะนอนให้เร็วกว่านะคะ 8)
เวลาโพสต์....... ตี 2
นี่นอนเร็วแล้วชิมิ :P
ตี 2 มันเพิ่งเริ่มวันนี้มา 2 ชั่วโมงเองน้า ::)
น้องเค้าหมายถึงว่าคืนนี้จะนอนเร็วต่างหาก
-
สอบแพทย์ปี 53 กสพท.จัดสอบเอง เห็นว่า วิชาสามัญ 70% ( คล้าย A-net เดิม คือ รวมวิทย์ 3 แขนงเข้าด้วยกัน ให้เวลา 3 ชั่วโมง ) วิชาเฉพาะ 30% ผมอยากเสนอผู้ใหญ่ลองมาพิจารณาแบบนี้ดูบ้าง
วิชาความถนัดแพทย์ 200 คะแนน , ภาษาอังกฤษ 100 คะแนน , ภาษาไทย+สังคม 100 คะแนน ---- สอบประมาณ ตุลา / พฤศจิกา เก็บไปก่อนครึ่งนึง 400 คะแนน วิชาละ 2.30-3 ชั่วโมง
เคมี 100 คะแนน , ชีววิทยา 100 คะแนน , ฟิสิกส์ 100 คะแนน , คณิตศาสตร์ 100 คะแนน ------ สอบประมาณ มกราคม/กุมภาพันธ์ วิชาละ 40-50 ข้อ (คำนวณ) และ 75-100 ข้อ (บรรยาย หรือ บรรยาย+คำนวณ) เก็บอีก 400 คะแนน รวมเป็น 800 คะแนน
ข้อดี
1. เด็กจะได้ไม่ load วิชาสามัญมากไป โดยแบ่งสอบไปครึ่งนึงก่อน (เพราะยังๆงก็สอบวิชาเฉพาะก่อนอยู่ดี)
2. ข้อสอบไม่ต้องยากระดับเทพ แต่ให้ระดับมีความหลากหลายที่จะคัดคนมีความรู้ออกจากคนที่ต้องเดาคำตอบมากเกินไป เพราะมีข้อกำหนดเวลาที่น้อย (3วิขา เคมี+ชีวะ+ฟิสิกส์)
3. เด็กที่เรียนสายวิทย์ การได้ทำข้อสอบที่แยก Paper ของวิทย์ จะคุ้มค่ากับระยะเวลาและหน่วยกิตที่เรียนมาใน ม.ปลาย
4. ไม่ทราบว่าพี่ๆมี data ที่บ่องบอกหรือไม่ว่า คนที่ทำคะแนนวิชาความถนัดได้ดี จะเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต ( เป็นไปตามกราฟ regressionป่ะ หรือมีค่าความเชื่อมั่น p เท่าไหร่อ่ะ )
.... อยากสะท้อนความเห็นดูนะครับ ไม่ทราบส่งข้อคิดเห็นให้ผู้ใหญ่ได้ที่ไหน mail. ของ กสพท.ก็ส่งไม่ได้
ขอบคุณครับ
-
เอ่อ
พี่ว่าสอบไทย สังคม อังกฤษ ไปเดือนมีนาคมแบบเดิมดีกว่านะครับ
เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าตอนม. 6 เทอม 2 ไม่มีใครเข้าเรียนวิชานี้กันเพราะ "ผมสอบมาแล้ว"
ส่วนเรื่องความถนัดนั้น
มันเพิ่งมีน่ะครับ
คงยังใช้แยกความเป็นหมอที่ดีอะไรนั่นไม่ได้หรอกนะครับในตอนนี้
ยังไงก็
นี่เป็นแค่ความคิดเห็นนึงเท่านั้นนะครับ
-
ความเห็นของ "เสนอความเห็น" ก็เป็นแนวคิดที่ดีนะครับ
ถ้าถามว่าจะเสนอให้ "ผู้ใหญ่" ได้ที่ไหน ถ้าเป็นอาจารย์คณะเราละก็ ท่านก็อาจกำลังอ่านกระทู้นี้อยู่ก็ได้
แต่ถ้าเป็น "ผู้ใหญ่" ระดับที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงระบบสอบทั้งระบบได้นั้น ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ป.ล. แต่บางครั้งคนเราอาจได้พบกับ "ผู้ใหญ่" บางท่านแบบไม่คาดคิด เช่น เมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนตอนรียนวิชาเลือกที่คณะเภสัช ได้เรียนกับ อ.ภาวิชด้วย :P
ดร.ภาวิช ทองโรจน์ (หัวหน้าอาจารย์ที่คุมการสอบ A-net,O-net ปีแรกที่ระบบล่มนั่นแหละ) :P แต่....อย่าเข้าใจผิดว่าผมโทษท่านนะครับ :o
-
ขอบคุณพี่ๆมากค่ะที่ให้กำลังใจบี บีจะพยายามทำให้ดีที่สุดนะคะ
บีชอบที่จะเข้ามาดูกระทู้และตอบคำถามของพี่ๆตอนดึกๆ
เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนได้รับรางวัลจากพี่ๆหลังจากที่อ่านหนังสือมาทั้งวัน
ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันก็คงจะดีมากๆเลยค่ะ
สำหรับบีตอนนี้ก็พยายามทำให้เต็มที่ เพราะเรียนไม่เก่ง
แถมยังไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนคนอื่นๆเค้า ถ้าเทพกว่านี้ก็คงจะดี
บีขอระบายเรื่องนึงนะคะพี่ๆ บีอึดอัดมากๆ จนจะกรี๊ดได้แล้ว
เพื่อนๆอะชอบโทรมา บีก็ไม่อยากคุยอะ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ
อันที่จริงก็เป็นคนปากกล้านะ แต่กลับเพื่อนสนิทหงอทุกทีเลย
พูดได้แค่เดี๋ยววางแล้วนะ แต่ไม่เคยพูดว่าแค่นี้นะซะที
เพื่อนก็เหมือนจะไม่รู้นะว่าบีอึดอัด คุยๆอยู่นั่นแหละ
พอใจเมื่อไหร่ก็วาง ทั้งๆที่รู้ว่าบีอ่านหนังสืออยู่อะ
ขนาดเปิดซีดีที่ยืมจากรร.มาดังๆ ยังไม่เข้าใจบีเลย
บีก็ไม่กล้าพูด แล้วเขาก็ถามนะว่าถ้าไม่ได้หมอก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย
บีก็บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ตายหรอก บีก็บอกว่าอือ ก็มีแผนสำรองไว้
แต่ในใจอะอยากได้ อยากได้มากๆด้วย แต่กลัวมันจะดูใฝ่สูงเกินไปในสายตาคนอื่น
บีก็เป็นคนปกตินะที่รู้จักเผื่อใจอะ แต่ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆอะ
ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้ยากก็ตาม บีอึดอัดมากๆเลยค่ะพี่หมอ ตอนนี้ก็ดึก
ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง บอกพี่ๆเป็นที่แรกเลยนะคะ
บีก็ใช้มาตรการถอดสายโทรศัพท์เลย มือถือก็ปิดเสียง
แต่ถ้าไม่โทรกลับก็กลัวจะมีธุระ แต่เพื่อนก็ถามอะว่าโทรเข้าบ้านได้มั้ย
โอ๊ยๆๆ เครียดมากๆ แบบเบื่อสุดจะบรรยาย บีคิดว่าพรุ่งนี้เช้าเจอหน้าเพื่อน
จะบอกตรงๆแล้วล่ะ แต่ก็เพื่อนจะรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
เด็กผู้หญิงขี้น้อยใจด้วย แต่คิดซะว่าเพื่ออนาคตของเราทั้งคู่ละกัน
ขอบคุณพี่ๆและเพื่อนๆทุกคนที่อ่านจนจบค่ะ และขอบคุณสำหรับกำลังใจของพี่ๆ
บีจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ :'(
-
เหอๆ พี่บอลก็นึกว่าอาไร
มาๆ เดี๋ยวหมอบอล บอกวิธีคลายเครียดให้
ทำตามล่ะ
- อย่างแรกให้พยายามยิ้ม กว้างๆ ;D
- สูดหายใจเข้าลึกๆๆๆๆ
- ให้นึกถึงหน้าพี่บอลในสมอง แล้วความฮามันจะพรั่งพรูเอง ???
- อ่อลืมบอกให้หายใจออกด้วย ไม่งั้นหน้าเขียวแย่เลย :-X
แค่นี้ล่ะ จบแล้ว ทำทุกครั้ง ก่อนและหลัง อาหาร จะทำให้สมองปลอดโปร่ง
อิอิ
-
บอร์ดนี้มีสาระมากครับ คิดเหมือนกันเลย
อืม ถ้าเราไม่ชอบสิ่งที่เพื่อนทำจริงๆก็ควรจะบอกไปตรงๆนะ แต่ใช้คำพูดที่อ่อนน้อม และพูดในสถาการณ์ที่เหมาะสมนะครับ
(เวลาที่เค้าอารมณ์ดีๆอ่า)
ผมคิดว่าเพื่อนบีคงเข้าใจความรู้สึกบีอ่านะครับ
แล้วก็พยายามทำใจให้สบายๆนะครับ เราก็อ่านหนังสือเตรียมสอบหมอเหมือนกัน (ตัวเองยังเครียดอยู่เลย 555+) ;D
อ่ะน่ะครับ เป็นเพียงคำแนะนำที่อาจจะไม่ใช้ทางเลือกที่สุดอ่า (แล้วจะแนะนำทำไมเนี่ย) แต่น่าจะพอช่วยอะไรได้บ้าง (งง) :-X
สุดท้ายนี้ สู้ๆ !!!! 8)
-
ลองเปรยๆตอนรับสายว่า กำลังอ่านหนังสืออยู่ แต่คุยได้
แล้วพออยากวางก็ขอตัวไปอ่านหนังสือต่อ
::)
เพื่อนกันน่าจะเข้าใจกันอยู่แล้วล่ะ :)
-
สอบแพทย์ปี 53 กสพท.จัดสอบเอง เห็นว่า วิชาสามัญ 70% ( คล้าย A-net เดิม คือ รวมวิทย์ 3 แขนงเข้าด้วยกัน ให้เวลา 3 ชั่วโมง ) วิชาเฉพาะ 30% ผมอยากเสนอผู้ใหญ่ลองมาพิจารณาแบบนี้ดูบ้าง
วิชาความถนัดแพทย์ 200 คะแนน , ภาษาอังกฤษ 100 คะแนน , ภาษาไทย+สังคม 100 คะแนน ---- สอบประมาณ ตุลา / พฤศจิกา เก็บไปก่อนครึ่งนึง 400 คะแนน วิชาละ 2.30-3 ชั่วโมง
เคมี 100 คะแนน , ชีววิทยา 100 คะแนน , ฟิสิกส์ 100 คะแนน , คณิตศาสตร์ 100 คะแนน ------ สอบประมาณ มกราคม/กุมภาพันธ์ วิชาละ 40-50 ข้อ (คำนวณ) และ 75-100 ข้อ (บรรยาย หรือ บรรยาย+คำนวณ) เก็บอีก 400 คะแนน รวมเป็น 800 คะแนน
ข้อดี
1. เด็กจะได้ไม่ load วิชาสามัญมากไป โดยแบ่งสอบไปครึ่งนึงก่อน (เพราะยังๆงก็สอบวิชาเฉพาะก่อนอยู่ดี)
2. ข้อสอบไม่ต้องยากระดับเทพ แต่ให้ระดับมีความหลากหลายที่จะคัดคนมีความรู้ออกจากคนที่ต้องเดาคำตอบมากเกินไป เพราะมีข้อกำหนดเวลาที่น้อย (3วิขา เคมี+ชีวะ+ฟิสิกส์)
3. เด็กที่เรียนสายวิทย์ การได้ทำข้อสอบที่แยก Paper ของวิทย์ จะคุ้มค่ากับระยะเวลาและหน่วยกิตที่เรียนมาใน ม.ปลาย
4. ไม่ทราบว่าพี่ๆมี data ที่บ่องบอกหรือไม่ว่า คนที่ทำคะแนนวิชาความถนัดได้ดี จะเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคต ( เป็นไปตามกราฟ regressionป่ะ หรือมีค่าความเชื่อมั่น p เท่าไหร่อ่ะ )
.... อยากสะท้อนความเห็นดูนะครับ ไม่ทราบส่งข้อคิดเห็นให้ผู้ใหญ่ได้ที่ไหน mail. ของ กสพท.ก็ส่งไม่ได้
ขอบคุณครับ
ถ้าให้สอบแยกวิชาช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ซึ่งยังเรียนไม่จบกันก็จะมีคนมาบ่นอีกว่า
1.ทำให้เด็กเครียดต้องมาสอบกลางปี 2.บังคับให้เด็กต้องไปเรียนพิเศษเพราะเนื้อหาเรียนไม่จบ 3.เทอม 2 เด็กโดดเรียนวิชาพวกนี้ - -"
วิชาเฉพาะสอบก่อนได้เพราะมันไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในโรงเรียน แต่วิชาสามัญคงไม่รุ่งเท่าไรหรอก = ="
เรื่องแยกวิชา ถึงจะเห็นว่ามันสอบรอบเดียวก็เถอะ แต่เวลาคิดคะแนนมันก็คิด 40% ซึ่งมากกว่าวิชาอื่นอยู่แล้วนิ
แล้วตอนสอบแต่ละวิชามันก็ให้เวลา 1 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน คะแนน 100 คะแนนเท่า ๆ กัน ตามหลักการแค่นี้ก็ ok แล้ว ค่าเท่ากัน ~ ~
ความถนัดแพทย์แบบที่ใช้กันอยู่เหมือนสอบมายังไม่ถึง 6 ปีเลยมั้ง คงไม่มีกราฟไรที่ว่านั่นหรอกครับ
แล้วถึงจะจบแพทย์ไปแล้ว จะเอาอะไรมาใช้ตัดสินอ่ะว่าเป็นแพทย์ที่ดีหรือไม่ดี แล้วใครจะมานั่งทำกราฟด้วย - -"
ขอบคุณพี่ๆมากค่ะที่ให้กำลังใจบี บีจะพยายามทำให้ดีที่สุดนะคะ
บีชอบที่จะเข้ามาดูกระทู้และตอบคำถามของพี่ๆตอนดึกๆ
เพราะมันทำให้รู้สึกเหมือนได้รับรางวัลจากพี่ๆหลังจากที่อ่านหนังสือมาทั้งวัน
ถ้าเป็นแบบนี้ทุกวันก็คงจะดีมากๆเลยค่ะ
สำหรับบีตอนนี้ก็พยายามทำให้เต็มที่ เพราะเรียนไม่เก่ง
แถมยังไม่ได้เรียนพิเศษเหมือนคนอื่นๆเค้า ถ้าเทพกว่านี้ก็คงจะดี
บีขอระบายเรื่องนึงนะคะพี่ๆ บีอึดอัดมากๆ จนจะกรี๊ดได้แล้ว
เพื่อนๆอะชอบโทรมา บีก็ไม่อยากคุยอะ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ
อันที่จริงก็เป็นคนปากกล้านะ แต่กลับเพื่อนสนิทหงอทุกทีเลย
พูดได้แค่เดี๋ยววางแล้วนะ แต่ไม่เคยพูดว่าแค่นี้นะซะที
เพื่อนก็เหมือนจะไม่รู้นะว่าบีอึดอัด คุยๆอยู่นั่นแหละ
พอใจเมื่อไหร่ก็วาง ทั้งๆที่รู้ว่าบีอ่านหนังสืออยู่อะ
ขนาดเปิดซีดีที่ยืมจากรร.มาดังๆ ยังไม่เข้าใจบีเลย
บีก็ไม่กล้าพูด แล้วเขาก็ถามนะว่าถ้าไม่ได้หมอก็ไม่เป็นไรใช่มั้ย
บีก็บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ตายหรอก บีก็บอกว่าอือ ก็มีแผนสำรองไว้
แต่ในใจอะอยากได้ อยากได้มากๆด้วย แต่กลัวมันจะดูใฝ่สูงเกินไปในสายตาคนอื่น
บีก็เป็นคนปกตินะที่รู้จักเผื่อใจอะ แต่ไม่ใช่คนที่จะยอมอะไรง่ายๆอะ
ถึงแม้ว่าจะเป็นไปได้ยากก็ตาม บีอึดอัดมากๆเลยค่ะพี่หมอ ตอนนี้ก็ดึก
ไม่รู้จะระบายให้ใครฟัง บอกพี่ๆเป็นที่แรกเลยนะคะ
บีก็ใช้มาตรการถอดสายโทรศัพท์เลย มือถือก็ปิดเสียง
แต่ถ้าไม่โทรกลับก็กลัวจะมีธุระ แต่เพื่อนก็ถามอะว่าโทรเข้าบ้านได้มั้ย
โอ๊ยๆๆ เครียดมากๆ แบบเบื่อสุดจะบรรยาย บีคิดว่าพรุ่งนี้เช้าเจอหน้าเพื่อน
จะบอกตรงๆแล้วล่ะ แต่ก็เพื่อนจะรู้สึกไม่ดีเหมือนกัน
เด็กผู้หญิงขี้น้อยใจด้วย แต่คิดซะว่าเพื่ออนาคตของเราทั้งคู่ละกัน
ขอบคุณพี่ๆและเพื่อนๆทุกคนที่อ่านจนจบค่ะ และขอบคุณสำหรับกำลังใจของพี่ๆ
บีจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ :'(
บอกเพื่อนตรง ๆ ไปเลยว่าจะอ่านหนังสือดีกว่าครับ อยากคุยหลังสอบมีเวลาคุยอีกเยอะ ::)
เพื่อนก็ต้องอ่านหนังสืออ่ะนะ บอกไปเลยว่าเพื่ออนาคตของเราทั้งสองงง 555+
-
ถ้าเป็นกรณีนี้พี่จะบอกว่า "เฮ้ย ขอไปอ่านหนังสือก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้ บะบาย"
เพื่อนก็โอเคทุกคนนะ ไม่มีใครคิดมาก
-
ถ้าไม่กล้าบอกเพื่อนตรงๆว่าจะอ่านหนังสือ
พี่ขอเสนอวิธีแก้ ด้วยการ!!
โบ้ยพ่อแม่ ;D ;D
เช่น แม่เรียกอ่านหนังสือแล้วล่ะ หรือ
พ่อบ่นว่าคุยโทรศัพท์นานไปแล้วนะ อะไรอย่างงี้ ;D
ส่วนตัวไม่เคยใช้ (เพราะไม่อ่านหนังสือ เอ้ย ไม่ใช่)
แต่เผื่อน้องสนใจ กร๊ากกก :D
-
พี่ก็เคยโบ้ยพ่อแม่นะ
พี่ว่าเวิร์กอยู่นะ งืมๆ
ยังไงๆ ลองมาบอกกันดูหน่อยนะครับว่าทำแล้วเป็นไง :)
-
ถ้าให้สอบแยกวิชาช่วงเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ซึ่งยังเรียนไม่จบกันก็จะมีคนมาบ่นอีกว่า
1.ทำให้เด็กเครียดต้องมาสอบกลางปี 2.บังคับให้เด็กต้องไปเรียนพิเศษเพราะเนื้อหาเรียนไม่จบ 3.เทอม 2 เด็กโดดเรียนวิชาพวกนี้ - -"
วิชาเฉพาะสอบก่อนได้เพราะมันไม่เกี่ยวกับเนื้อหาในโรงเรียน แต่วิชาสามัญคงไม่รุ่งเท่าไรหรอก = ="
เรื่องแยกวิชา ถึงจะเห็นว่ามันสอบรอบเดียวก็เถอะ แต่เวลาคิดคะแนนมันก็คิด 40% ซึ่งมากกว่าวิชาอื่นอยู่แล้วนิ
แล้วตอนสอบแต่ละวิชามันก็ให้เวลา 1 ชั่วโมงเท่า ๆ กัน คะแนน 100 คะแนนเท่า ๆ กัน ตามหลักการแค่นี้ก็ ok แล้ว ค่าเท่ากัน ~ ~
ความถนัดแพทย์แบบที่ใช้กันอยู่เหมือนสอบมายังไม่ถึง 6 ปีเลยมั้ง คงไม่มีกราฟไรที่ว่านั่นหรอกครับ
แล้วถึงจะจบแพทย์ไปแล้ว จะเอาอะไรมาใช้ตัดสินอ่ะว่าเป็นแพทย์ที่ดีหรือไม่ดี แล้วใครจะมานั่งทำกราฟด้วย - -"
1.เนื้อหาวิชาสามัญที่จะสอบก่อนคือ Eng. + ไทย + สังคม นั้น คงไม่โดดไม่ทิ้ง เพราะ O-net (ปี 53 ซึ่งก็ยังคงมี) ต้องสอบด้วยเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันครับ (เรียกได้ว่าเหมือนกันเลย เพียงแต่ความลุ่มลึกของข้อสอบ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะออกให้ได้ยากมาก ยากน้อย) และอย่างไรก็ต้อง keep คะแนนรวม up 60% อยู่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสอบ ตุลา/พฤศจิกา หรือ สอบ กุมภา/มีนา ก็ไม่มี significant different แต่สอบตุลาจะช่วยลด load
2.ในกรณีของวิชาสายวิทย์ ถ้าแบบเดิม วิทย์รวม 40% ฉะนั้น Chem = Bio = Phy. = 13.33% แต่คณิต Eng มาเดี่ยวๆ 20% ซึ่งมากกว่า 6-7% อังกฤษ ก็พอ accept ได้ครับ ส่วน Math ผมว่าเรียนแพทย์ใช้ไม่มากนัก ขนาด Cal แพทย์ที่จุฬา ปี 1 ยังไม่ได้เป็นวิชาบังคับใช่หรือเปล่าครับ ( ช่วย confirm หน่อย ) ถ้าให้ดี น่าจะเป็นการใช้กระบวนทรรศน์ในการแก้ปัญหาดีกว่า เพราะแพทย์จริงๆแล้ว Problem Oriented Based สำคัญกว่ามาก โดยส่วนตัว ชอบวิชาคณิตศาสตร์มานานแล้ว เพราะวิชาทางสังคมศาสตร์ เป็นวิชาที่หาคำตอบที่ suitable ลำบากครับ
3.ส่วนข้อ 3 เป็นข้ออ้างถึงเฉยๆครับ ไม่ได้ serious ซึ่งจะสะท้อนว่า การที่เราจะทำอะไรขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง (เช่นอาจเป็นงานวิจัย)เราก็ควรมี aim ว่าจะได้ประโยชน์ในแง่ไหน แค่วัดอะไรได้บ้าง ยังไม่พอ ต้องมองว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
edit : จะกดปุ่ม 'อ้างถึง' แต่เผลอไปกด 'แก้ไข' อ่ะ ขออภัยครับ แก้เป็นเหมือนเดิมละนะ = ="
-
1.เนื้อหาวิชาสามัญที่จะสอบก่อนคือ Eng. + ไทย + สังคม นั้น คงไม่โดดไม่ทิ้ง เพราะ O-net (ปี 53 ซึ่งก็ยังคงมี) ต้องสอบด้วยเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันครับ (เรียกได้ว่าเหมือนกันเลย เพียงแต่ความลุ่มลึกของข้อสอบ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะออกให้ได้ยากมาก ยากน้อย) และอย่างไรก็ต้อง keep คะแนนรวม up 60% อยู่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสอบ ตุลา/พฤศจิกา หรือ สอบ กุมภา/มีนา ก็ไม่มี significant different แต่สอบตุลาจะช่วยลด load
2.ในกรณีของวิชาสายวิทย์ ถ้าแบบเดิม วิทย์รวม 40% ฉะนั้น Chem = Bio = Phy. = 13.33% แต่คณิต Eng มาเดี่ยวๆ 20% ซึ่งมากกว่า 6-7% อังกฤษ ก็พอ accept ได้ครับ ส่วน Math ผมว่าเรียนแพทย์ใช้ไม่มากนัก ขนาด Cal แพทย์ที่จุฬา ปี 1 ยังไม่ได้เป็นวิชาบังคับใช่หรือเปล่าครับ ( ช่วย confirm หน่อย ) ถ้าให้ดี น่าจะเป็นการใช้กระบวนทรรศน์ในการแก้ปัญหาดีกว่า เพราะแพทย์จริงๆแล้ว Problem Oriented Based สำคัญกว่ามาก โดยส่วนตัว ชอบวิชาคณิตศาสตร์มานานแล้ว เพราะวิชาทางสังคมศาสตร์ เป็นวิชาที่หาคำตอบที่ suitable ลำบากครับ
3.ส่วนข้อ 3 เป็นข้ออ้างถึงเฉยๆครับ ไม่ได้ serious ซึ่งจะสะท้อนว่า การที่เราจะทำอะไรขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง (เช่นอาจเป็นงานวิจัย)เราก็ควรมี aim ว่าจะได้ประโยชน์ในแง่ไหน แค่วัดอะไรได้บ้าง ยังไม่พอ ต้องมองว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
1.สอบตอนตุลา ควรเป็นวิชาที่ไม่ใช่วิชาสามัญอย่าง ความถนัดแพทย์หรือวิศวะนะครับ จะได้ไม่โดนเด็กทิ้งอย่างที่ีีีีีเกี๊ยกบอก เพราะไง O-net ทำยังไงก็เกิน 60% กันถ้วนหน้าอยู่แล้ว
2. ในความเห็นผม ภาษาอังกฤษสำคัญกับการเรียนแพทย์มากถึงมากที่สุดนะครับ คิดว่าการให้น้ำหนักวิชาต่างๆ ณ ปัจจุบันนั้นเหมาะสมอยู่แล้ว
3. การสะท้อนสิ่งที่เป็นนามธรรมด้วยรูปธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หรือพูดตามตรงก็คือ ผมไม่เชื่อว่ารูปแบบทางคณิตศาสตร์ ณ ปัจจุบันจะสามารถใช้ได้กับปัญหาทางจริยธรรมอันซับซ้อน จริงอยู่ที่ว่าการที่เราจะทำอะไรซักอย่าง เราจะต้องมีวิธีการวัดผล และการวัดผลที่นิยมที่สุดก็คือ คณิตศาสตร์ เพราะมนุษย์เราได้ใช้คณิตศาสตร์ในการอธิบายปรากฎการณ์ทางธรรมชาติมากมาย เช่น วิชาฟิสิกส์ แต่ปรากฎการทางสังคม ซึ่งรวมถึงจริยธรรมในที่นี้ คงจะเป็นการยาก ที่จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกัน
-
1.เนื้อหาวิชาสามัญที่จะสอบก่อนคือ Eng. + ไทย + สังคม นั้น คงไม่โดดไม่ทิ้ง เพราะ O-net (ปี 53 ซึ่งก็ยังคงมี) ต้องสอบด้วยเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันครับ (เรียกได้ว่าเหมือนกันเลย เพียงแต่ความลุ่มลึกของข้อสอบ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะออกให้ได้ยากมาก ยากน้อย) และอย่างไรก็ต้อง keep คะแนนรวม up 60% อยู่ดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะสอบ ตุลา/พฤศจิกา หรือ สอบ กุมภา/มีนา ก็ไม่มี significant different แต่สอบตุลาจะช่วยลด load
2.ในกรณีของวิชาสายวิทย์ ถ้าแบบเดิม วิทย์รวม 40% ฉะนั้น Chem = Bio = Phy. = 13.33% แต่คณิต Eng มาเดี่ยวๆ 20% ซึ่งมากกว่า 6-7% อังกฤษ ก็พอ accept ได้ครับ ส่วน Math ผมว่าเรียนแพทย์ใช้ไม่มากนัก ขนาด Cal แพทย์ที่จุฬา ปี 1 ยังไม่ได้เป็นวิชาบังคับใช่หรือเปล่าครับ ( ช่วย confirm หน่อย ) ถ้าให้ดี น่าจะเป็นการใช้กระบวนทรรศน์ในการแก้ปัญหาดีกว่า เพราะแพทย์จริงๆแล้ว Problem Oriented Based สำคัญกว่ามาก โดยส่วนตัว ชอบวิชาคณิตศาสตร์มานานแล้ว เพราะวิชาทางสังคมศาสตร์ เป็นวิชาที่หาคำตอบที่ suitable ลำบากครับ
3.ส่วนข้อ 3 เป็นข้ออ้างถึงเฉยๆครับ ไม่ได้ serious ซึ่งจะสะท้อนว่า การที่เราจะทำอะไรขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง (เช่นอาจเป็นงานวิจัย)เราก็ควรมี aim ว่าจะได้ประโยชน์ในแง่ไหน แค่วัดอะไรได้บ้าง ยังไม่พอ ต้องมองว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง
ภาษาเท่ดีจังครับ ชอบอ่ะ 555+
1. คิดว่ายังไงคนก็ยังโดดอ่ะ จริง ๆ นะ - -" แล้ว O-net มันคิดเฉลี่ยรวมทุกวิชาอ่ะ
ซึ่งคนก็ใช้เลขกับวิทย์(ที่น้อง(รึเปล่า?)บอกว่าจะเก็บไว้สอบทีหลัง)ดึงคะแนนได้ชิล ๆ อยู่แล้ว
แล้วระดับคนที่จะสอบติดแพทย์ ถ้าให้ไปทำเลขกับวิทย์ซักวิชาละ 85+ หรือใกล้เคียง
แล้วเข้าไปเดาอังกฤษ ไทย สังคม ยังไงก็เกิน 60% (300 คะแนน)ได้อยู่แล้วอ่ะ ฟันธง - -"
แล้วที่บอกว่าลด load จากทีเดียวปลายปีมาแบ่งเป็นกลางปีด้วย
คือมันไม่ได้เป็นการลดแต่จะยิ่งเป็น load ให้คนเครียดป่ะ ยังเรียนไม่จบก็ต้องไปสอบซะแล้ว - -"
ไม่งั้น GAT PAT ที่จะเริ่มสอบตั้งแต่ต้นปีแล้วเค้าจะมาบ่นทำไม น่าจะดีใจที่แบ่ง load อย่างที่ว่า สอบได้หลายรอบด้วย 555+
significant difference มีแน่นอนครับ > <!! (ชอบคำนี้จัง 555)
2. อังกฤษเป็นวิชาที่ได้ใช้จริง ๆ ทั้งตอนเรียนและตอนสอบ ดังนั้นคิดน้ำหนัก 20% ก็ดีอยู่แล้ว
เลขไม่ได้ใช้เนื้อหาก็จริง แต่ใช้ในแง่ของกระบวนการคิด กระบวนการแก้ปัยหาที่เราได้จากการทำโจทย์ครับ
เลข 20% มันมากเกินไปก็จริงแต่มันก็สำคัญกว่าไทย สังคมป่ะ จะให้ 10% ก็กระไรอยู่
จริง ๆ จะให้ 15% แล้วเอา 5% ไปแปะวิทย์ก็อาจดีนะ แต่ไม่มีใครทำเพราะเลขไม่สวยหรือคิดคะแนนยากก็ไม่รู้ 555+
คณะแพทย์จุฬาไม่มีบังคับเรียน Calculus ครับ แล้ว Problem Based Learning ก็ยังไม่เคยเรียนอ่ะนะ ผ่านไปก่อน 555+
จริง ๆ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่เรียน ม.ปลาย ก็ไม่เกี่ยวกับแพทย์เท่าไรนะ มันเรียนกว้างมากเกินอ่ะ - -"
แต่มันก้ได้ใช้มากกว่าวิชาอื่น คิดน้ำหนักคะแนนมากกว่าก็สมควรอยู่แล้วอย่างที่น้อง(รึเปล่า?555+)บอกนั่นแหละ
แต่จะมากกว่าแล้วคิดเท่าไรนี่มันก็คงเถียงกันไม่จบ ถ้าให้มากกว่าีน้ก็จะมีคนบอกมากไป ถ้าให้น้อยก็บอกเรียนมาตั้งเยอะ - -*
คะแนนคะแนนค่านึงทำให้ทุกคนพอใจคงเป็นไปไม่ได้อ่ะนะ
3.ข้อสอบจุดประสงค์พื้นฐานคือใช้วัดอะไรต่อมิอะไรที่ว่านั่นแหละครับ - -"
ซึ่งเป็นการวัดผลของผู้เข้าสอบในขณะนั้น (ขณะที่ทำ้ข้อสอบนั่นแหละ)
คนออกข้อสอบคงไม่คิดขนาดว่าคนทำข้อสอบชุดนี้เมื่อเรียนจบไปแล้วจะเป็นไง บลา ๆๆ
หรือนอกจากข้อสอบชุดนี้จะวัดอะไรได้แล้วยังจะสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง บลา ๆๆ
แล้วการเป็นแพทย์ที่ดีหรือไม่ในอนาคต มันขึ้นกับหลาย ๆ ปัจจัยอ่ะนะ
คงใช้ข้อสอบชุดนึงที่ใช้เวลาสอบไม่กี่ชั่วโมงมาตัดสินให้แม่นยำขนาดนั้นไม่ได้
ไม่ได้ serious เหมือนกันนะ อย่าตอบยาว กลัว > <!! 555+
-
บีลองทำแล้วค่ะพี่ๆ บีบอกเพื่อนว่าต้องสอบที่ดีๆให้ได้
แม่จะได้ทำงานอย่างสบายใจ เขาก็โอเคอ่ะคะ
ดีนะวันนั้นบีอ่านหนังสือจนเช้าแล้วไปรร.
เพราะบีไปคืนหนังสือแล้วติดรถแม่เขาออกมาอ่ะค่ะ
เพราะถ้าไปบ้านเพื่อนคนนี้ไม่ได้อ่านแหงเลย
แต่นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้บีออกมาจากรร.ได้
พอไปถึงบีก็หลับลูกเดียวเลย แล้วตื่นมาอ่านหนังสือต่อ
เขาก็โดนแม่ว่าอยู่เหมือนกันที่มัวแต่อ่านนิยาย ;D
บีก็เลยบอกให้เพื่อนตั้งใจอ่านหนังสือ แม่จะได้ไม่บ่น
บางทีเค้าก็ชอบบอกว่าจะทิ้งวิชานี้ บีก็บอกว่าอย่าทิ้งเลย
บอกให้เขาอย่ายอมแพ้ ต้องติดที่ดีๆอยู่แล้วล่ะ
ขนาดตกลงกันแล้วนะ เพื่อนก็ยังเอิ่ม...
แบบว่าบีโทรไปหาเขาอ่ะค่ะ มีธุระนิดหน่อย
แต่เขาคุยกะคนอื่นอยู่ (ไม่คุยกะบีก็คุยกะคนอื่นเป็นชม.เลย 55+)
แล้วเขาโทรกลับมา เพื่อนก็ถามว่าบีเสียบโทรศัพท์บ้านรึยัง
บีก็บอกว่ายัง เพื่อนก็บอกว่าเปล่าหรอก
ใช้มือถือมันหลุดบ่อย ถ้าเปิดโอกาสให้คงยาวแหงเลย
บีก็อือ...อือ...อือ เชื่อเลย มันพูดคนเดียวอยู่ตั้ง 15 นาที
บีก็เลยบอกว่าพอดีติดสายรุ่นพี่คนนึงอยู่
รร.เก่าไม่ได้ติดต่อกันนาน :D
เลยตัดปัญหาไปได้เปราะนึง อันที่จริงเค้าก็เป็นเด็กน่ารักมากคนนึง
แต่เค้าชอบคุยกะบี อาจจะเพราะเบื่อแม่บ่นก็ได้มั้งคะ
ขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆมากค่ะ ที่คอยเป็นกำลังใจบี
และคอยให้คำแนะนำเสมอมา บีรู้สึกซาบซึ้งใจ
และหวังว่ากระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่กำลังเตรียมสอบนะคะ
แล้วบีจะมารายงานความคืบหน้าค่ะว่าเป็นยังไงบ้าง
สู้ๆ :'(
-
ยินดีกะน้องบีด้วยนะครับที่แก้ไขปัญหาได้
ไงก็ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับ :)
-
ยินดีด้วยเน่อ ตั้งใจอ่านหนังสือต่อไปละกันนะครับ :)
-
พี่อาจแนะนำหนูไม่ได้มากเพราะพี่ไม่เข้าใจระบบใหม่เลย
แก่เกินและ แต่ก็สู้ๆน้อง พยายามเข้า
-
ขอบคุณพี่ๆมากค่ะ สำหรับทุกคำตอบ
ว่าแต่กินแบรนด์นี่มันช่วยมั้ยคะ ขอคำแนะนำจากพี่ๆค่ะ ???
-
กินอะไรก็เหมือนกันแหละครับ ถ้าไม่อ่านหนังสือ :P
-
555+ ใช่เลย ต้องกินแล้วอ่านหนังสืออาจจะเห็นผลนะ
รุ่นพี่บอกว่ากินแล้วสมองแล่นดี ไม่รู้จริงป่าว ???
แต่กิน "น้ำข้าวกล้องงอก" ก็ดีเหมือนกันนะ เค้าวิจัยกันมาแล้ว กินแล้วสมองแล่นดี หุหุ
-
ถ้ากินแล้วทำให้เรามีกำลังใจก็กินเถอะครับ แต่แบรนด์นี่มันน้ำตาลกรวดชัดๆ :P
-
น้ำข้าวกล้องงอก ตึกทวีวงศ์ก็มีขาย ไม่อร่อยซักนิด > <!!
-
ถ้ากินแล้วทำให้เรามีกำลังใจก็กินเถอะครับ แต่แบรนด์นี่มันน้ำตาลกรวดชัดๆ :P
มันก้อไม่ขนาดนั้น :P
แต่ก็ไม่ต้องไปกินมันหรอก ไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แพงด้วย
-
ถ้ากินแล้วทำให้เรามีกำลังใจก็กินเถอะครับ แต่แบรนด์นี่มันน้ำตาลกรวดชัดๆ :P
มันก้อไม่ขนาดนั้น :P
แต่ก็ไม่ต้องไปกินมันหรอก ไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แพงด้วย
ถ้าอยากกินรังนกของจริง ต้องไปเยาวราช ไปเลือกซื้อเองเห็นเป็นรังๆเลย แถมต้องมานั่งเอาขนออกด้วย
แต่รู้สึกว่ามันจะแพงมากๆๆ
-
น้ำข้าวกล้องงอก ตึกทวีวงศ์ก็มีขาย ไม่อร่อยซักนิด > <!!
เขากินเอาประโยชน์นิ จริงๆพี่ชอบนะ
แต่ว่า งานวิจัยยังไม่มีการยืนยันนินา ???
-
ถ้ากินแล้วทำให้เรามีกำลังใจก็กินเถอะครับ แต่แบรนด์นี่มันน้ำตาลกรวดชัดๆ :P
มันก้อไม่ขนาดนั้น :P
แต่ก็ไม่ต้องไปกินมันหรอก ไม่มีประโยชน์สักเท่าไหร่ แพงด้วย
ถ้าอยากกินรังนกของจริง ต้องไปเยาวราช ไปเลือกซื้อเองเห็นเป็นรังๆเลย แถมต้องมานั่งเอาขนออกด้วย
แต่รู้สึกว่ามันจะแพงมากๆๆ
จิงๆมานมีแบบไม่แพงนะพี่ แต่ไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่
อันที่เปงเม็ดๆอะพี่ที่เปนเสดมานอะ
โลละ500กว่าบาทมั้ง เอามาต้มกินเองนี่ บานเบิกเรย :D
-
บีไม่รู้จักน้ำข้าวกล้องงอกอ่ะค่ะ จะลองหามาชิมดู แต่ก็กินแบรนด์บ้าง (ซุปไก่)
แต่แม่ไม่อยากให้กินซุปไก่เท่าไหร่ ให้กินรังนกแทน แม่บอกว่าเดี๋ยวเป็นเก๊าท์ :P
มันมีส่วนมั้ยคะพี่ ตอนนี้บีเข้าขั้นวิกฤตแล้ว กลายเป็นโรคนอนไม่หลับง่ะ
ขนาดจะสอบไฟนอลอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า บียังไม่ได้นอนเลย :-X
พยายามแล้วอ่ะค่ะพี่ๆ แต่มันนอนไม่หลับ กลัวสอบไม่ติดมากเลย
แต่จะพยายามให้เต็มที่นะคะ สู้ๆ :'(
-
กินน้ำข้าวกล้องงอก
ระวังเก๊าต์
(เชื่อมะ)
-
กินน้ำข้าวกล้องงอก
ระวังเก๊าต์
(เชื่อมะ)
จริงหรอคะพี่ ทำไมอะ