Docchula Public Board > แนะนำการศึกษาต่อคณะแพทย์จุฬาฯ

ถ้าไม่ชอบหมอ จะเรียนได้มั๊ย

(1/9) > >>

แบงค์:
พี่ ๆ คับ

ถ้าผมไม่ชอบเป็นหมอ  แต่เรียนเพราะเป็นอาชีพที่มั่นคง  และเพื่อน ๆ ในห้องที่จะเรียนวิศวะ จุฬา  พอผลประกาศสอบติดหมอทั้งจุฬา ศิริราช  รามา  ก็เปลี่ยนใจมาเรียนหมอ  อยากถามพวกพี่ ๆ ทั้งที่กำลังเรียน  และจบทำงานเป็นหมอแล้ว

1. การที่ไม่ชอบ  จะเรียนได้มั๊ยคับ  จะเรียนไปด้วยความยากลำบาก แบบถึงขนาดต้องทรมานมั๊ย
2. การไม่ชอบ  มีผลกับการจะเรียนจบมั๊ย  ผมไม่ขอบชีววิทยา  ชอบฟิสิกส์  ผมจะเรียนได้มั๊ย   หรือควรจะไปเรียนวิศวะ
3. ไม่ชอบ แค่ก็อยากเรียน อยากเป็นหมอเหมือนกัน  แบบว่าตามเพื่อน ตามกะแส  แล้วเพื่อนก็มีอัธยาศัยที่ดี  วิศวะก็ไม่ถึงกับชอบแต่เรียนฟิสิกส์ได้ดี  เห็นว่าวิศวะตกงานอะคับ
4. การมีทัศนคติที่ไม่ดีกับอาชีพหมอ แบบลบ  มันต้องเปลี่ยนทัศนคติใช่มั๊ยคับ  เพราะเราจะต้องอยู่กับมัน  ผมจะมีทางเปลี่ยนทัศนคติที่ดีกับอาชีพหมอได้มั๊ยคับ  แบบว่าเพราะเราผูกพันกับเพื่อน ๆ  กับ ร.พ. คนไข้  อาจารย์ใหญ่  หรือรักษาคนไข้หายแล้วคนไข้ก็มาขอบคุณเรา  ทำให้เรามีกำลังใจ เห็นคนเองมีคุณค่า  อยากเป็นหมอที่ดี  และในที่สุดก็อาจจะรักอาชีพนี้  หรือไม่ถึงกับรักแต่ก็ไม่คิดจะเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น ๆ แบบที่ทีแรกคิดไว้ตอนอยู่ปี 1
5. ทราบว่ามีรุ่นพี่ต้องเรียกสอบสัมภาษณ์ครั้งที่ 2  อาจารย์ไม่แนใจ  สรุปว่าสุขภาพจิตไม่มีผลกับการเรียนให้จบ  สามารถวัดได้ขนาดนั้นเลยหรือคับ  และหากเป็นผม  ผมควรจะเรียนมั๊ย  หรือสละสิทธิ์ไปเลยดีก่า

ทีผมาเล่ามานี้ และถามพี่ ๆ หมอ  ขอคำแนะนำด้วยอะคับ  จะเรียนอะไรดีคับ หมอก็ไม่ชอบ วิศวะก็ไม่ถึงกับชอบ  แต่ทัศนคติก็ไม่มองในแง่ลบ  เพียงแค่ไม่มั่นคงมีสิทธิ์ตกงาน  พอดีคุณพ่อผมวิดวะ จุฬาคับ  อาจทำให้ผมมีทัศนคติไม่ค่อยดีกับหมอ (ถ้าทำงานเอกชนช่วงแรก ๆ ดี  แต่บั้นปลายชีวิตไม่ค่อยดีคับ)  แต่คุณพ่อบอก  ถ้าจะเรียนวิศวะจบแล้วก็ไปต่อโททางด้านที่เราชอบได้ เช่น พวกการเงิน

ตอนนี้ผมรู้สึกว่าวุ้นใจกับ ไม่รู้ตัวตนของตัวเอง  ขอบคุณพี่ ๆ หมอคับ



:: Arm :::
พี่คิดคงต้องอยู่ที่ตัวน้องเองครับ ว่า"ทัศนคติในแง่ลบ" ของน้องนั้นน้องใส่ใจกับมันแค่ไหน ถ้าน้องไม่มีทัศนคตินี้น้องจะอยากเป็นหมอมั้ย ?
ทัศนคติมันเปลี่ยนกันได้ครับ น้องใช้เวลามองสิ่งต่างๆมาไม่ยังถึง 20 ปีเลย บางทีน้องอาจจะยังไม่เคยสำผัสความเป็นหมอในอีกมุมมองนึงก็ได้นะ

เพื่อนๆพี่ที่มาเรียนหมอแต่ละคนก็มีเหตุผลของตัวเองนะ ว่าเข้ามาเรียนเพราะอะไร ก็มีเหมือนกัน คนที่ไม่ชอบแต่ก็มาเรียน
ถ้าถามว่าเรียนได้มั้ย พี่เชื่อว่าถ้าน้องสามารถสอบเข้ามาที่นี่ได้ และไม่ขี้เกียจจนเกินไปน้องสามารถเรียนได้สบายมากครับ
แต่น้องจะมีความสุขในการเรียนมั้ยล่ะ ? น้องก็ต้องตอบเองความสุขในการเรียนของน้องขึ้นอยู่กับอะไร
เพื่อนพี่บางคนถึงเรียนได้ไม่ดีก็มีความสุขได้ ในขณะที่อีกหลายคนเรียนดีก็อาจจะไม่มีความสุข

แต่ส่วนตัวพี่นะ พี่พยามไม่มองอะไรในแง่ลบไว้ก่อนที่เราจะได้สำผัสมันจริงๆ หรือมีอะไรที่ยืนยันได้ว่ามันไม่ดี
ถ้าเรามองมันในแง่ลบไว้ก่อน เราจะไม่มีทางมองมันดีได้หรอกนะ

ขอแค่นี้ละกัน ง่วงละ  ;D

pholpipat:
   สำหรับตัวพี่ที่ตอนนี้กำลังขึ้นชั้นปี 2 ก็พูดจากใจจริงว่า หลังจากที่ได้เรียนในคณะที่ได้ชื่อว่า มีการสอบแข่งขันสูงที่สุดในประเทศ ก็พบว่า การเรียนหมอนั่น (หรือไม่จำเป็นหรอกครับ อาชีพไหนๆ ก็ได้) มันก็มีความยากอยู่ในตัวแตกต่างกันไป พี่จึงอยากบอกน้อง ม. ปลาย ไม่เฉพาะน้องแต่เป็นทุกคนว่า คนเราต้องเลือกเดินในสิ่งที่ตนรัก ไม่ใช่ตามกระแส อย่างที่น้องบอกว่ากลัวตกงานถ้าเป็นวิศวกร พี่ว่าถ้าน้องมีอะไรเจ๋งๆ และไอเดียที่ไม่เหมือนใคร และที่สำคัญน้องรักที่จะเป็นผู้สร้าง และประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่  พี่ว่าน้องเป็นวิศวกรเถอะ
   ทุกคนมีเป้าหมายเป็นของชีวิตตนเองทั้งนั่น ไม่มีใครจะมาตัดสินอนาคตตัวเราได้นอกจากตัวเราเอง อย่างพี่เองที่เลือกเรียนหมอก็เพราะพี่อยากกลับไปทำงานในพื้นที่ชนบทบ้านเกิดของพี่เอง ไปใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ไม่รวยและไม่จน เพราะหมอเป็นอาชีพพอเพียง แต่มีการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ตลอดชีพ เพราะวิทยาการทางการแพทย์มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาอยู่ทุกชั่วโมง ทุกนาที และทุกวินาที จึงเป็นการเหมาะสำหรับคนที่ชอบไขว่ขว้าหาความรู้ตลอดเวลา
    และที่สำคัญคือ ความเสียสละ เพราะเมื่อน้องมาเรียนน้องจะพบว่า ปีที่น้องสบายที่สุดคือ ปี 1 เท่านั้น หลังจากนั้นน้องก็จะต้องหมกมุ่นอยู่กับห้อง Lecture, ห้องปฏิบัติการ, วอร์ดคนไข้ เป็นต้น ยิ่งชั้นปีสูงๆ จะยิ่งมีเวลาว่างเป็นของตนเองลดลงเรื่อยๆ แค่เวลานอนของน้องเมื่อมาเป็นหมอมันแทบจะไม่มีเลย เมื่อน้องจบออกไปเป็นหมอใช้ทุน 3 ปี น้องจะยิ่งต้องมีความรับผิดชอบต่อชีวิตของคนไข้มากยิ่งขึ้นหลายเท่าตัว พี่เคยฟังประสบการณ์ของรุ่นพี่ที่จบไปแล้วเขาก็บอกกันเป็นเสียงเดียวว่า ถ้าใครคิดว่า เรียนหมอเพราะเก่งและมีคนเรียนมากที่สุด ถือได้ว่าคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะอาชีพนี้ใช้ความเสียสละทั้งกาย ใจ สังคม และวิญญาณเป็นหลัก ส่วนเรื่องสติปัญญาในการเรียนก็อย่างที่พี่ปี 3 บอกแล้วว่า ถ้าน้องสอบเข้ามาเรียนได้ และไม่ประมาท น้องเรียนผ่านได้สบายอยู่แล้ว ส่วนเรื่องเกรดก็เป็นอีกเรื่องนึง
    จากทีพี่ได้กล่าวมานี้ ก็เพื่อให้น้องได้ตัดสินใจได้และเลือกเดินในสายอาชีพที่ถูกต้อง (ประมาณใช้เลย ถูกตรงสเป็กตามใจน้องเลย) ถ้าน้องคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วพบว่า อาชีพแพทย์คือ ชีวิตน้อง (พี่ต้องใช้คำว่า ชีวิต เพราะน้องต้องอยู่กับมันไปทั้งชีวิตเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของน้องที่แยกไม่ขาด) และใช่เลย พี่ MDCU65 รุ่นพี่ชั้นปีอื่นๆ ตลอดจนคณาจารย์ก็ยินดีต้อนรับน้องเข้าสู่วงการนะครับ แต่ถ้าน้องพบว่า มันไม่ใช่ครับ/ค่ะ มันไม่ใช่ตัวผม/หนู มันหนักเกินไป ถ้าทำไปแล้ว จะทำให้ไม่มีความสุขไปทั้งชีวิต (แม้ตัวจะประสบความสำเร็จก็ตาม) ก็ไม่เป็นไรครับ ขอให้เลือกอาชีพอื่นๆ ไป  
    อย่างในคณะพี่ก็มีหลายคนดำเนินชีวิตไปในทางที่ต่างกัน ส่วน MDCU65 ก็มีวิศวกรคนหนึ่งจบดอกเตอร์ทาง Electrical Engineering จากประเทศญี่ปุ่นมา แล้วสอบเรียนต่อที่คณะแพทยศาสตร์ เพราะทำงานวิจัยทางด้าน Stem Cell และต้องการสร้างเครื่องมือทางการแพทย์ (ปัจจุบันเขาอายุ 31 ปี) พี่เลยอยากบอกน้องว่า การที่น้องบอกว่า หมอเองน้องก็ไม่ชอบ วิศวกรก็ยังไม่แน่ แล้วน้องชอบเรียนฟิสิกส์พี่แนะนำว่า น้องอาจเลือสายอาชีพวิศวกร หรือวิทยาศาสตร์ก่อนก็ได้ เพราะอาชีพแพทย์ ใช้วิชาชีววิทยา และ เคมีอย่างมหาศาล และเมื่อน้องออกไปทำงานแล้ววันหนึ่งก็นึกสนุกอยากกลับมาศึกษาต่อการแพทย์ น้องอาจจะกลับมาสอบอีกก็ได้เหมือนเพื่อนของพี่คนนี้ (ความจริงต้องเรียกเขาว่าพี่ เพราะเขาอายุต่างจากพี่ 11 ปี) พี่จึงขอให้น้องคิดไตร่ตรองให้ดี เพราะน้องต้องไม่ลืมว่า คนเราไม่มีใครแก่เกินเรียน สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต โดยไม่ต้องสนใจว่าอายุเท่าไร และพี่บอกได้เลยว่า พี่เองก็ไม่เลือกคบคน เขาจะมีอายุมากหรือน้อยกว่าพี่ เขาก็คือ เพื่อนของพี่

    สุดท้ายนี้พี่ก็อยากฝากให้น้องจงใช้เวลาที่เหลือใน ม.ปลาย ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด เตรียมหาประสบการณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ ตั้งใจเรียนให้เต็มที่ อ่านหนังสือให้เต็มที่ ทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ ให้สนุกสนานอย่างเมามัน เที่ยวกับเพื่อนก็จงทำอย่างเต็มที่ เพราะเมื่อน้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ มันจะเป็นก้าวสุดท้ายของการเป็นนักเรียน ก่อนจะเป็นนิสิตนักศึกษา แล้วกลายเป็นคนทำงานอย่างแท้จริง (ซึ่งเมื่อถึงตอนนั่นน้องจะร้องเรียกหาวันเวลาแห่งความสุข กลับคืนมาไม่ได้อีกต่อไปแล้ว)

Alistair*:
ไม่อยากเรียนแต่เรียนเก่ง พี่ว่ายังไงมันก็คงถูๆ ไถๆ ให้ไปรอดได้อะน้อง -*-
มันอยู่ที่ว่าน้องมีแรงบันดาลใจจะไปต่อมั้ย น้องจะเรียนได้อย่างมีความสุขแค่ไหน หรือต้องถูสีข้างไปตลอดการเรียน

พี่ว่านะ
เรียนได้หรือไม่ได้ มันไม่ใช่เครื่องวัดความประสบความสำเร็จ
ถ้าไม่ชอบ เรียนอะไรมันก็ไม่รุ่งอะน้อง น้องอาจจะจบมาได้ แต่เพื่อนๆ น้องอีกมากมายก็จบมาพร้อมกับน้อง และส่วนใหญ่เค้าก็คงชอบ?
มีอะไรมาประกันว่าน้องจบมาเป็นหมอแล้วน้องจะได้เงินเดือนดี ไม่ตกงาน น้องจะเต็มใจรักษาคนไข้รึเปล่า

ไปเรียนอันที่ชอบเหอะ
หกปีกับชีววิทยา ชอบฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ  :P


ปล. พี่ก็ยอมรับเหอะว่าพี่มาเรียนเพราะ พ่อแม่+ไม่ตกงาน+ไม่ต้องคิดเวลาสมัครงาน+ไม่รู้จะเรียนอะไร ฯลฯ โดยมีความชอบเป็นส่วนน้อยทีเดียวเมื่อเทียบกับเหตุผลอื่น พอดีว่าไม่เก่งด้วย กำลังสงสัยอยู่เลยว่าอนาคตชั้นจะเป็นยังไงบ้าง ;D

bRoWniEs:
ถามตัวเอง
ว่าจบมาแล้ว อยากทำอาชีพอะไร??
หลับตา... นึกภาพตัวเองเป็นวิศวกรนะ 
แล้วก็ลองนึกภาพตัวเองเป็นหมอดูนะ
ลองจินตนาการว่าตอนนั้นตัวเองทำอะไรอยู่
และตัวเองมีความสุขไหม?

พี่ว่า ชอบชีวะ หรือ ชอบฟิสิกส์ มันไม่ใช่ประเด็น
เพราะทุกวิชามันไม่ได้แยกออกจากกันนะ
บางส่วนของฟิสิกส์ก็เกี่ยวกับชีวะ
บางส่วนของชีวะก็เอาฟิสิกส์มาใช้
ไม่ใช่ว่า ชีวะ=หมอ ฟิสิกส์=วิศวะ สักหน่อย
อาชีพมันมากกว่าวิชาเรียนในห้องเยอะน่ะ
มองแต่ละอาชีพให้ลึกๆ
มองตัวเองให้ลึกๆ
แล้วค่อยตัดสินใจ

ถ้าชอบจริง ขยันตั้งใจ
ไม่มีใครตกงานหรอก ไม่ว่าอาชีพไหนๆ

Navigation

[0] Message Index

[#] Next page

Go to full version