ก่อนอื่นพี่ขอเป็นหนึ่งเสียงจาก นิสิตเเพทย์โครงการผลิตเเพทย์ร่วม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเเละกองทัพอากาศ (พอ.บนอ.)
หรือที่น้องรู้จักนามเเพทย์จุฬาฯ-ภูมิพล
สำหรับกำเเพงเเสนที่น้องพูดถึง คงหมายถึง รพ.จันทรุเบกษา ซึ่งเป็น รพ.สังกัดกองทัพอากาศ ในส่วนนี้พี่ยังไม่มีประสบการณ์ตรงขอไม่พูดถึง
ในส่วนของรพ.ภูมิพล เท่าที่พี่รู้ตอนนี้สำหรับน้องๆโครงการที่จะมาเรียนต่อภูมิพล
พี่ว่าตอนนี้หลายๆอย่างกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นมาก
โดยหลายอย่างที่ไม่ดีได้ถูกประเมินเเละอาจารย์ได้ดำเนินการเเก้ไขเเล้วหลายส่วน
มาดูที่พี่เคยพบมา
ภาพรวมที่รพ.ภูมิพลเป็นโรงพยาบาลตติยภูมิ เน้นหนักทางด้านโรงเรียนของเเพทย์ประจำบ้าน
ในด้านของวิชาการล้วนๆ อาจน้อยกว่าที่จุฬาฯ
เเต่ในด้านการในไปใช้ในเวชปฏิบัติพี่ว่าก็ไม่ต่างกันมากนะ
ในด้านของอาจารย์ อาจารย์ที่รพ.ภูมิพลหลาท่านก็ติดภารกิจบ่อยๆเช่นเดียวกับอาจารย์ที่จุฬาฯ
เเต่อาจารย์ที่ภูมิพลจะมีภารกิจของทหารด้วย ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าหลีกเลี่ยงผลกระทบไม่ได้จริงๆ
ส่วนอาจารย์ที่มาราวน์วอร์ดอาจจะไม่เข้มข้นเท่าที่จุฬาฯครับ
เนื่องจากการเน้นการให้บริการผู้ป่วยมากกว่า
เเต่ปัจจุบันที่รพ ภูมิพลมีทีมอาจารย์ที่คอยดูเเลนิสิตในเรื่องของการเรียนเเละกิจกรรมค่อนข้างดีมากครับ
ความมีชื่อเสียงของอาจารย์คงเทียบกันไม่ได้ เนื่องจากที่ภูมิพลก็เป็นโรงเรียนเเพทย์เช่นกัน
เเละอาจารย์จำนวนมากก็เป็นใหญ่เป็นโตในประเทศเช่นเดียวกัน
ในเรื่องของการเรียน
การอยู่เวรค่อนข้างหนักพอสมควรครับ รับผู้ป่วยมากต่อคน
เเละเนื่องจากอยู่เเถบชานเมือง กรณีผู้ป่วยด้านศัลยกรรมฉุกเฉินเเละศัลยกรรมอุบัติเหตุ รวมทั้งออร์โธปิดิกส์
จึงทำให้มีผู้ป่วยเหล่านี้จำนวนมากต่อวัน
น้องมีโอกาสได้ทำหัตถการต่างๆมากมาย
เเต่ทั้งหลายทั้งปวง น้องเองเเหละครับที่จะพร้อมที่จะรับมันเเค่ไหน
มีห้อง manikin สำหรับการฝึกกับหุ่น ก่นทำกับคนไข้จริง
เป็นศูนย์ expert ในด้านศัลยกรรมอุบัติเหตุ อายุรกรรมโรคหัวใจ โรคไต โรคมะเร็ง
กรณีผู้ป่วยมักเป็นโรคที่พบบ่อยๆ เเละ ก็อาจมีผู้ป่วยที่เป็นโรคหายากบ้าง rare case
เนื่องจากปัจจุบันคนไข้ที่มาทำการรักษาได้ถูกส่งต่อเข้ามารับการรักษา หรือบางครั้งก็ย้ายมาจากรพ เอกชน จำนวนมาก
มีเเพทย์เฉพาะทางเป็นอาจารย์ในเเต่ละรายวิชาได้อย่างครบถ้วน
เเพทย์ประจำบ้านหลากหลายมาจากหลายที่ ความรู้บางอย่างอาจต้องเลือกฟังเเละเลือกนำมาปฏิบัติ
อุปกรณ์ค่อนข้างทันสมัยพอสมควร ยกเว้นบางย่างที่คิดว่าอาจไม่คุ้มค่า
academic activity มีเกือบทุกวัน เเต่อย่างที่บอกเน้นการศึกษาของเเพทย์ประจำบ้าน
ในเเต่ละ conference นิสิตเเพทย์อาจต้องมีส่วนร่วมในการdiscussion ในกรณีผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอ
เนื้อหาต่างๆก็ค่อนข้างอัพเดทเช่นกัน
เเต่อาจมีสิ่งที่อาจารย์ได้ทำวิจัยเอง หรือได้ศึกษามาเอง มานำเสนอน้อยกว่าที่จุฬาฯมาก
เเต่ทั้งหลายทั้งปวง
ทุกอย่างขึ้นกับตัวน้อง
บางอย่างการอ่านหนังสือทั้งเล่ม อาจช่วยเหลือชีวิตคนไข้ไม่ได้ ถ้าน้องไม่เคยฝึก ไม่เคยเห็นด้วยตนเอง
เช่นเดียวกัน เกือบทุกอย่างน้องอาจช่วยเหลือคนไข้ได้ไม่ดีพอหรือไม่ได้ ถ้าไม่อ่านหนังสือ
เเละคนไข้อาจตาย หากเเพทย์ไม่มีความรับผิดชอบครับ
สุดท้ายไม่ว่าน้องจะเรียนที่ไหน ขึ้นกับตัวน้องทั้งนั้นเลยครับ
คงได้ประโยชน์บ้างนะครับ