Docchula Community

พ่อแม่ควรแนะนำลูกอย่างไร เมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบเป็นหมอ

ผู้ปกครอง

เรียน อ. ภุชงค์ และว่าที่คุณหมอ

ตั้งแต่ ม. 1 - ม. 4 - 5  ลูกกะว่าจะเรียนวิศวะ  เมื่อมาเรียน ตอ. ประมาณ ม. 5 เทอม 2 - ม. 6 ช่วงมีการสอบ กสพท. ก็ได้สมัครสอบหมอไว้ด้วย  ซึ่งโดยทั่วไปเด็ก ตอ. สายวิทย์  ไม่ว่ากะจะเข้าเรียนคณะไหน  โดยส่วนใหญ่ก็จะสอบหมอไว้ด้วย  เพราะสังคมเพื่อนส่วนใหญ่ทำแบบนี้  พอช่วง ม. 6 ก็จะกลายเป็นว่าไม่รู้ว่าจะเลือกหมอหรือวิศวะดี 50 : 50  แต่ก็สอบไว้ก่อนแล้วค่อยเลือกทีหลัง    ขอดูคะแนนก่อน  ถ้าคะแนนคำนวณออกมาสูงก็มีแนวโน้มอาจจะเรียนวิศวะได้ดีก็อาจจะเลือกวิศวะ  ถ้าคะแนนคำนวณไม่ดีไม่สูงก็อาจจะเลือกหมอ  และเพื่อเป็นประวัติความภาคภูมิใจของตัวเองด้วยว่าสอบติดหมอแล้ว 

1.   เมื่อผลสอบออกมาปรากฏว่า  สอบติดหมอ  และได้เลือกหมอในที่สุด   ด้วยไม่มีความชัดเจนตั้งแต่แรก  ฉะนั้นเมื่อเพื่อนส่วนใหญ่ไปทางไหน  เพื่อนว่าอย่างไร  เด็กก็จะเห็นดีไปตามเพื่อน  โดยเทียบตัวเองกับเพื่อน   เพื่อนซึ่งเรียน ตอ. อยู่ชึ้นเดียวกันตอน ม. 6   เรียนมาด้วยกันได้เกรดพอ ๆ กัน  เพื่อนก็ไม่ชอบหมอนะ  ไม่ชอบเรียนวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์   กลัวเรียนหนัก   และยาก  อีกทั้งอาชีพที่เครียด  ไม่ค่อยมีเวลาเป็นของตัวเอง  รายได้ก็แค่มีฐานะ   ไม่ถึงกลับร่ำรวย  (เป็นอาชีพที่ต้องทำด้วยตนเอง   รายได้ขึ้นกับความต้องการ  ทำมากได้มาก)    ซึ่งก็เหมือนเขาก็ไม่ชอบหมอเหมือนกัน   ขณะนั้นตกในที่นั่งเหมือนกัน  หัวอกเดียวกัน   ไป ๆ มาๆ  เลยสรุปว่า   เสียดาย  ไหน ๆ  ก็ได้แล้ว  เพื่อนเรียนได้เราก็น่าจะเรียนได้  ......แบบนี้เหมือนเป็นกับดักหรือเปล่าค่ะ? .........อาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไร?     ........................  เด็กตัดสินใจตามที่เล่านี้ถูกหรือเปล่าค่ะ?

ทางที่ดีถ้าเด็กชัดเจนตั้งแต่แรกพ่อแม่ก็คงไม่อยากก้าวก่าย   (เมื่อรู้ว่าลูกไม่ชอบหมอ  พ่อแม่บางคนก็สงสารลูกไม่อยากให้ลูกเรียนเหมือนกันค่ะ)  ขอถามในกรณีนี้ว่า............ถ้าเด็กมีความฝันอยากจะประกอบอาชีพหนึ่ง   แต่สอบติดหมอก็เสียดายถ้าไม่เอา  จึงเลือกหมอตามเพื่อนส่วนใหญ่   ขอเลือกเรียนไว้ก่อน  ถ้าเรียนจบแล้ว...ทำงานแล้ว...สัมผัสแล้ว...

2.  ก็มี 2 แนวทางให้เลือก  1. ไม่ชอบมีช่องทางเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่น   2. ชอบ  หรือ  ทำได้ไม่รังเกียจก็ยึดอาชีพหมอต่อไป  หรืออาจจะทำในสายงานที่เกี่ยวข้อง  เช่น  นักวิจัยทางด้านเครื่องมือแพทย์  หรือผู้บริหาร ร.พ.  หรือโอนย้ายไปทำงานในกระทรวงสาธารณสุข  อาจารย์มีความเห็นอย่างไร?   พ่อแม่ควรแนะนำลูกอย่างไร?  1.   แนะนำไปเลยถ้าอย่างนี้อย่าเรียนหมอ  ไปเรียนคณะนี้ดีกว่า   2.  แนะนำและในที่สุดให้ลูกตัดสินใจเอง

3.  คุณลักษณะของคนที่ไม่ชอบเป็นหมอมีอะไรบ้างค่ะ  ซึ่งถ้าคิดอย่างนั้นจะเป็นปัญหาในการเรียน  เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพอย่างไร แค่ไหน    ถ้าเรียนและประกอบอาชีพนี้  ก็จะทำไปอย่างไม่มีความสุข
และที่เด็กบอกว่าไม่ชอบเป็นหมอเพราะเรียนหนัก  ไม่มีเวลาเป็นของตนเอง  นอนน้อย  เครียด  เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่  และเป็นเหตุผลที่ถูกต้องที่จะใช้ในการตัดสินใจว่าถ้าคิดแบบนี้  ไม่ควรจะเรียนหมอ   ......... มีอะไรที่สำคัญกว่านี้ที่จะสรุปได้ว่าไม่ชอบอาชีพนี้  เช่น  ไม่ชอบช่วยเหลือคน  ไม่ชอบทำงานใน ร.พ. งานที่ต้องดูแลรักษาผู้ป่วย

 
ขอบคุณมากค่ะ



Offline Ice§waN

  • จากข้างบน ทุกสิ่งคือสิ่งเดียวกัน
  • *****
  • 672
  • 8
  • ขอบเขตของความรัก ?
    • My Space
ผมเป็นนสพ.ปี 6 นะครับ ก็ขอให้ความเห็นในระดับที่ผมให้ได้ละกัน
(เพราะเห็นคุณแม่ถาม"ว่าที่คุณหมอ"ด้วย)
"ไม่ชอบเป็นหมอเพราะเรียนหนัก  ไม่มีเวลาเป็นของตนเอง  นอนน้อย  เครียด  เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่"
เรียนหนักไหม ผมคิดว่าไม่ได้หนักไปกว่าคณะอื่นๆ เท่าที่ผมคุยกับเพื่อนมา เวลาเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนมัธยม ผมว่าเรียนหมอสบายกว่าอีก
ไม่มีเวลาเป็นของตนเอง จริงและไม่จริง ขึ้นกับคนครับ ผมรู้สึกว่า 6 ปีนี้ ผมมีเวลาพอ และเหลือไปพักผ่อนหายใจทิ้งด้วย ที่จริง
ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะใช้เวลาอย่างไร ให้ความสำคัญกับอะไรมากกว่า
นอนน้อย เครียด ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวเองเหมือนกันครับ ว่าตั้งเป้าไว้ขนาดไหน ถ้าเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ ผมว่าผมก็ไม่ใช่คนขี้เกียจนะ
อ่านหนังสือพอสมควร พักผ่อนบ้าง ผมนอนน้อยจริง เพราะเล่นเน็ต :) แต่ไม่เครียดมากนะครับ
แต่ที่ว่ามาทั้งหมด นั่นคือตอนที่เรียนอยู่ครับ พอจบไปเป็นหมอแล้วจะเป็นยังไงนั้น มีหลายตัวแปรมากๆ เช่น ไปใช้ทุนที่จังหวัดไหน ฯลฯ
จากที่เคยไปวิชาเลือกที่อุบลฯ มีบางครั้งต้องดูคนไข้เอง อยู่เวรคนเดียว คิดว่าตอนนั้นน่าจะใกล้เคียงการเป็นหมอจริงๆมากที่สุดแล้ว
งานหนักและเครียดพอสมควร เพราะเรากำลังทำกับชีวิตคนอยู่ บางครั้งเสียคนไข้ไป ผมก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เป็นเพราะผมดูไม่ดีหรือเปล่า
ทำยังไง คิดยังไง ให้เครียดในระดับที่เหมาะสมนั้น ... อาจต้องฝึกฝนจิตใจกันบ้าง ซึ่งก็พอมีแนวทางอยู่นะครับ แต่ยังไม่พูดถึงดีกว่า
ส่วนเรื่องนอนน้อย ไม่มีเวลา ก็มีบ้าง เพราะต้องอยู่เวรทุกๆ2-3วัน วันไหนคนไข้เยอะ ก็ไม่ได้นอนทั้งคืนก็มี แต่บางวันได้นอนตั้งแต่หกโมงเย็นก็มี
แต่ก็อย่างที่คุณแม่ว่า หลังจบไป เรามีทางเลือกได้หลากหลายมากจริงๆ รอผู้รู้กว่านี้มาแจกแจงดีกว่าครับ

โดยส่วนตัว ตอนที่ผมสอบเข้ามา ผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมจะชอบเรียนหมอรึเปล่า ยิ่งเป็นหมอยิ่งไม่เห็นภาพว่าจะเจอกับอะไรยังไง
หกปีที่ผ่านมา ผมพอใจมากกับการเรียนหมอ และคาดว่าจะพอใจกับการเป็นหมอเช่นเดียวกัน ผมคิดว่าผมเลือกไม่ผิด
มีบ้างเหมือนกัน ที่รู้สึกว่า เอ ถ้าตอนนั้นเรียนวิดวะคอมอาจจะรุ่งกว่านี้ จะสนุกกว่านี้ แต่นั่นแหละถ้าได้เรียนจริงๆ ผมอาจไม่พอใจก็ได้
สำหรับผมตอนนี้มันไม่สำคัญว่าถ้าย้อนกลับไปได้จะเลือกอะไร แต่ผมพอใจและคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดกับสิ่งที่มีอยู่
แต่สำหรับน้องที่เพิ่งเข้ามา ปีสองปี ผมว่ามันก็ไม่ผิดเหมือนกัน ถ้าจะกล้าพอที่จะย้อนกลับไปเริ่มใหม่
จะทำยังไงดีผมบอกไม่ได้จริงๆครับ คงต้องให้คุณแม่และน้องร่วมกันตัดสินใจ
ยังไงทั้งหมดนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวของว่าที่หมอด้อยประสบการณ์ชีวิตคนหนึ่ง

ที่สุดแล้ว ผมเชื่อว่าคนเรามีความพอใจได้กับทุกสิ่งที่เรามีและไม่มี
บางครั้งชีวิตก็วางแผนไม่ได้ สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้ร่ำรวย เก่ง ฉลาด
แต่ถ้าอยู่ในลู่ทางที่ถูกที่ควร ชีวิตจะลงเอยโดยดีเอง

ยังไงก็รอความเห็นอ.ภุชงค์เพิ่มเติมนะครับ

คุณแม่เองก็อย่าเครียดมากนะครับ

เรียนท่านผู้ปกครอง

ถ้าผมจับใจความไม่ผิด ตอนนี้ลูกเข้ามาเรียนแล้วใช่ไหมครับ
ก็เป็นงาน(ที่นึกอยากทำขึ้นมาเอง)ของผมที่จะต้องดูแลสุขภาพจิตนิสิตและผู้ปกครองด้วยในกรณีที่เกี่ยวข้อง
ทีนี้ ขืนพิมพ์ก็คงยาว และยาวไปเรื่อย

คุณแม่โทรมาติดต่อผมได้ที่ภาควิชาจิตเวช 02-2564298
ถ้าผมไม่อยู่ก็ฝากฝากเบอร์โทรกลับไว้นะครับ จะได้คุยกันละเอียดๆ หรือนัดพบกันได้ถ้าจำเป็น

ส่วนในกรณีท่านอื่นๆ ที่ติดตามอ่าน สำหรับกรณีนี้ ผมคิดว่า
ต้องให้ตัวนิสิตเองเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบผลของการเลือกของตนเองครับ
...ผลจะออกมาอย่างไรก็ต้องเรียนรู้กันไปครับ
เรื่องลักษณะนิสัย เปลี่ยนได้ถ้ามีแรงบันดาลใจที่ดีพอ
เช่นกัน คนที่มีคุณสมบัติดี หมดแรงบันดาลใจ เสื่อมศรัทธากับระบบ คุณสมบัติที่เคยดีก็แย่ลงได้