ถ้าคิดว่าการอ่านมันจำเป็นสุดๆ ไม่อ่านเลยแล้วจะตายดับอนาถคาสี่แยกอินโดจีน
...เดี๋ยวมันก็ต้องแงะตัวจากความขี้เกียจออกไปอ่านได้เอง
ข้าพเจ้าเชื่อเช่นนั้น
วิธีอ่านของข้าพเจ้านั้นแปลกนัก ส่วนใหญ่จะไม่สามารถอ่านหนังสือโดยตลอดได้ เพราะเบื่อ เพราะปวดหัว เพราะอยากอ่านการ์ตูนดูอนิเมอ่านนิยายมากกว่า ข้าพเจ้าจึงต้องจัดสรรเวลาพักและเวลาอ่านในคราวเดียวกัน
สำหรับข้าพเจ้า ส่วนใหญ่เวลาอ่านหนังสือ จะเป็นเหมือนเวลาพักในการทำสิ่งอื่นๆทั้งปวง :-Xคือดูอนิเม พอมันพักครึ่ง ก็มาอ่านต่อ อ่านไปสักพัก ดูต่อ อนิเมจบ อ่านต่อ ระหว่างนั้นก็โหลดตอนต่อไป พอโหลดเสร็จก็มาดูต่อ...เป็นอย่างนี้ร่ำไป
ปริมาณการอ่านนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเจตนาของผู้อ่าน ว่าประสงค์จะนำวิชาความรู้เหล่านั้นไปใช้ในอนาคตมากเพียงใด หากผู้อ่านคิดว่าเนื้อหานั้นจำเป็น ขืนไม่อ่านคงทำคนดับอนาถนับล้านราวกับปรมาณูลงกลางบางกอก ย่อมตั้งใจอ่านไม่ละสายตา แต่หากไม่ชอบ อ่านแต่เพียงหน้าที่ ก็ต้องจัดสรรเวลาดีๆมากๆ เพราะความขี้เกียจมันจะสูง แต่ถ้าเกิดมุ่งมั่นทะลุกำแพงหนึ่งของความอู้ไปได้ จะพบว่าการทำโจทย์ และการอ่านหนังสือ ล้วนเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ล้วนเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ยิ่งกว่าการรวบรวมความกล้ากระโดดบันจี้จัมป์ลงจากโซฟาเสียอีก
ความท้าทาย และความรู้สึกว่าต้องแข่งขันกับตัวเองนี้ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าอ่านหนังสือไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้จะติดการ์ตูนอนิเมนิยายยิ่งกว่าชีวิตก็ตาม
สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากจะบอกคือ "จงทำสิ่งที่อยากทำก่อนที่จะไม่ได้ทำ" (...ซะ)
ซึ่งมันไม่จำเป็นว่าต้องเป็นการอ่านหนังสือ แต่รวมถึงกิจกรรมอื่นที่ชอบด้วย ยึดถือบนความพอดีเป็นสำคัญ
หากยอมให้การอ่านหนังสือกัดกินชีวิตจิตใจจนเกินไป ย่อมเป็นทุกข์ เพราะสักพักจะหลงลืมความตั้งใจเดิม จะหลงลืมจุดมุ่งหมายในชีวิต หลงลืมทุกสิ่ง กลายเป็นคนไม่เต็มคน ทำสิ่งใดก็ไม่รอด เพราะชีวิตรู้จักแต่การอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว อย่างอื่นไม่รู้จัก ชีวิตต้องการอะไรก็ยังไม่รู้
หากไม่อ่านหนังสือแล้วมัวแต่ทำกิจกรรมที่ชอบอย่างเดียว อันนี้ นอกจากจะเป็นทุกข์แล้ว ยังเรียกได้ว่า ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ เป็นแต่คนขี้แพ้ที่ไม่อาจห้ามใจกระทั่งสิ่งที่จำเป็นต่ออนาคต เอาแต่หาข้ออ้างสร้างความชอบธรรมให้ความขี้เกียจของตนไปวันๆเท่านั้น
สมาธิคือปัจจัยสำคัญ สมาธิของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันออกไป บางคนอาจมีสมาธิเมื่อได้วาดรูป เมื่อได้เขียนนิยาย เมื่อได้นั่งเฉยๆ หรืออื่นๆ สมาธิของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ไม่ทราบ แต่แน่ใจว่าจะบังเกิดทุกครั้งในห้องสอบ
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกทั้งมวลจะถูกยับยั้ง ความคิดประเภท "เห้ย มันคืออะไร ตอบอะไรเนี่ย แย่แล้ว ว้ากกกกก กว๊ากกกกกกกก แว้กกกกกกกกก แกว๊กซ์" จะหายวับไป เหลือแต่ความนิ่งสงบ ความว่างเปล่า ความปลงต่อชีวิต และรับรู้ถึงความเป็นอนิจจัง ว่าเรานั้นอ่อนด๋อยเพียงใด หลังจากนั้น สรรพเสียงจะดับไปจากโสตสัมผัส สรรพความหนาวจะมลายไปจากผิวหนังสัมผัส แม้ไม่ได้ใส่เสื้อหนาว เมื่อมีสมาธิดังนี้ โอกาสในการเดาย่อมเพิ่มขึ้น เพราะเรามีสติ เพราะเราไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เพราะเราสามารถประมาณตนว่าปัจจุบันขณะมีสภาวะอย่างไร
ก็เป็นดังนี้ นี่แล.
(เอาสำนวนเทศนาโวหารมาใช้ตอบอะไรไร้สาระแบบนี้คงไม่ว่ากันเนอะ กร๊ากกกกกก

)