Docchula Community

อยากให้พี่ๆร่วมกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้หน่อยคับ

ตัวละครลับ

การสอบ GAT PAT ENT A-Net
 คุณคิดว่าถ้าเปลี่ยนระบบจาก ณ ปัจจุบันคือ GAT PAT ไปเป็นระบบ ENT คุณว่าสามารถทำได้หรือไม่??
การทดสอบวัดระดับความรู้ด้วยระบบEnt มีปัญหาอะไร???
ระบบที่ให้ความสำคัญกับ GPAX สามารถวัดระดับความรู้ของเด็กในแต่ละโรงเรียนได้จริงหรือ???
4.00โรงเรียนคุณ เหมือนโรงเรียนเตรียมอุดมหรือไม่???
ทั้งหมดนี้เป็นคำถามในใจของเด็กหลายๆคนที่ต้องเผชิญหน้ากับระบบการทดสอบ"วัดระดับความรู้กลาง"
ทั้งๆที่ประเทศไทยเป็นการปกครองโดย"ระบอบประชาธิปไตย"แต่เด็กก็เป็นส่วนหนึ่งในการปกครอง
และมีสิทธิ เสรีในการตัดสินใจในการใช้ระบบ ทำไมถึงไม่มีการเลือกตั้งหรือจัดตั้งคณะกรรมการนักเรียน
มีส่วนร่วมในการทดสอบการศึกษา เพราะบางครั้งการทดสอบก็แฝงไปด้วยอะไรมากมาย(เฉพาะเรื่องเงิน)

ระบบGAT PATนี้ เป็นระบบที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนภายในโรงเรียน
คือมีการจัดให้ใช้ค่าคะแนนเฉลี่ยสะสมGPAXมามีส่วนร่วมในการตัดสิน หรือคัดเลือกบุคคุลเข้าสถาบันต่างๆ
ของทางมหาวิทยาลัย  ทำให้เด็กมีการกระตือรือร้นในการเรียนมากขึ้น ป้องกันการหนีเรียน
ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเลยทีเดียว  แต่ถ้าเราลองย้อนกลับไปดูว่า
ทำไมเด็กถึงโดดเรียน??? เพราะครูไม่มีคุณภาพหรือ??? เพราะการแข่งขันที่สูงมากขึ้น???
ปัญหาการโดดเรียนเป็นปัญหาสำคัญในสมัยก่อนมากๆ  นั่นคือ เด็กโดดเรียนเพื่อที่จะไปเรียนกวดวิชา
ไม่สนใจการเรียนในชั้นเรียน  นั่นก็เพราะ การที่บุคลากรครูไม่มีคุณภาพพอ  คนที่มีคุณภาพไปเรียนหมอกันหมด
เพราะเหตุนี้ จึงทำให้"กวดวิชา" มีขึ้นมาอย่างมากมาย

ทำไมเราจึงไม่คิดจะแก้ไขบุคลากรครูให้มีคุณภาพมากขึ้น  แต่กลับมาแก้ไขการสอบของเด็ก ให้ยากขึ้นกว่าเดิม
เพราะครูก็ไม่มีคุณภาพพอแล้ว ยังต้องมาสอบอะไรที่ยากขึ้น ฉะนั้นสิ่งเดียวที่จะพึ่งได้คือการ กวดวิชานั่นเอง
จุดนี้เอง เราจะเห็นได้ว่า เราแก้ปัญหาไม่ถูกจุด  ทั้งยังเพิ่มภาระให้ครอบครัว

เด็กบางคนได้ทำการเรียนกวดวิชาทางด้านภาษาไทยและสังคม ที่จะเน้นความสามารถไปทางด้าน
เชิงคิดวิเคราะห์  และใช้หลักการและเหตุผลมากๆ แต่แล้วก็ต้องมาสะดุดให้กับภาษาอังกฤษ
ซึ่งถือว่าไม่สมเหตุสมผล คนเก่งด้านการคิดวิเคราะห์ ยังต้องเก่งภาษาอังกฤษด้วยหรือ??

ทำไมเราจึงนำทั้ง2สิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมารวมกัน
จากที่เด็กกวดวิชาแค่ไทยและสังคม กลับต้องเพิ่มวิชาภาษาอังกฤษเข้าไปด้วย
ซึ่งเพิ่มภาระค่าใช้จ่าย
บางคนได้ถามมาว่าทำไมต้องเรียนกวดวิชา??? เพราะการแข่งขันอย่างไรล่ะ!!

จริงๆแล้วระบบนี้คิดขึ้นมาเพื่อทำลายกวดวิชาทั้งหลาย
ปัจจุบันก็ทำลายได้แล้ว2คือ ภาษาไทยและสังคม จากการสอบ GAT
ภาษาอังกฤษยังทำลายไม่ได้และจะยิ่งคงทนต่อไป

การที่เด็กจะต้องมาสอบในสาขาวิชาที่ตัวเองไม่สนใจทำให้เกิดปัญหาอย่างมากๆ
นั่นก็คือ การที่เด็กต้องใช้สมอง เทเวลาให้แก่สาขาวิชาอื่นมากขึ้น
ทำให้ไม่เชี่ยวชาญหรือเก่งในด้านที่ตัวเองชอบ และในที่สุดก็จะเรียนในคณะที่ตัวเองสนใจไม่รอด

ทุกคนคงทราบว่า  คนเราเกิดมานั้น มีความถนัดในแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
แต่ทำไมเราจึงต้องมาสอบหลายๆอย่าง  เช่น วิศวะต้องการคนเก่งทางด้านฟิสิกส์มากๆ
แต่ทำไมจึงต้องสอบเคมีและชีววิทยา  ซึ่งเป็นปัญหาอย่างต่อเนื่อง

คุณทราบไหมว่ากวดวิชาดังๆสมัยนี้ ถ้าเริ่มต้นลงคอสปรกติจนจบคอสEntอยู่ที่ราวๆวิชาละ เท่าไหร่??
ภาษาไทยและสังคม ของท่านอ.ปิง ราวๆ 15,000บาท
คณิตศาสตร์ ของเดอะเบรนและสมัย ราวๆ 12,000 บาท
เคมี ของครู อุ๊ ราวๆ 15,000 บาท
ชีววิทยา ของ เจ๊บีม 13,000 บาท
ฟิสิกส์(ความถนัดวิศวะ) แอพพลาย 20,000 บาท
อังกฤษ เอ็นคอนเสปและครูสมศรี ราวๆ 15,000 บาท
รวมแล้วก็ราวๆ  90,000 บาท

การสอบหลายครั้งด้วยระบบGAT PAT นั้น ไม่ได้ลดความตรึงเครียดหรือเพิ่มโอกาสให้เด็กแม้แต่น้อย
เพราะการที่เรากว่าจพร้อมนั้น ก็ต้องม.6ขึ้นไปแล้ว ฉะนั้นการเพิ่มโอกาสให้เด็กสอบได้ตั้งแต่ชั้นม.5
ถือเป็นการสนับสนุน ให้มีกวดวิชาเพิ่มมากขึ้น

ต่อไปครูที่โรงเรียนจะไม่มีการสอนเกิดขึ้น  เพราะจะลาออกกันทุกคนแล้วไปเปิดกวดวิชากัน
เพราะรายได้ดีกว่ามารับราชการมาก

จากการที่ได้สอบGAT PAT1 และ PAT2ไปเมื่อวันที่ 7-8 มีนาคมนั้น
ได้ข้อสรุปดังนี้คือ
1.GAT แบ่งออกเป็น2ฉบับ  โดยฉบับแรกเป็นข้อสอบเชิงวิเคราะห์แบบภาษาไทยและเนื้อหาเป็นสังคม
  เป็นการอ่านแล้วตีความ และใช้กระบวนความคิดรวบรวม และเรียบเรียงโดยการเชื่อมสัมพันธ์ของเรื่องราว
ต่างๆให้เข้ากัน โดยเนื้อหาเหล่านี้ ไม่ได้ถูกบรรจุไว้ใน หลักสูตร ฉะนั้นสิ่งที่เรียนไปเมื่อ ม.4-ม.6
จะไม่ได้ใช้เลย  ฉบับที่ 2 เป็นวิชาภาษาอังกฤษ  คุณจะทำไม่ได้เลย หากในหัวคุณมีคำศัพท์อยู่น้อยนิด

2.PAT1 คณิตศาสตร์ 50ข้อ 180นาที  ซึ่งเนื้อหาส่วนใหญ่ออกเป็นของ ม.4ซะส่วนใหญ่
นั่นคือเรื่อง ฟังก์ชัน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่ ศึกษานาน เป็นโจทย์ที่ใช้คำถามเชิงวิเคราะห์มาประยุกต์รวม
กับเนื้อหาคณิตศาสตร์ในม.5และม.6ด้วยความที่มี50ข้อนี้ ทำให้วัดอะไรได้ยากในความคิดเด็ก เพราะโอกาสเดาถูก
50ข้อ มีมาก

3.PAT2 วิทยาศาสตร์123ข้อ180นาที ประกอบไปด้วย
   1).ชีววิทยา ถามเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ซึ่งถือว่าไม่ยากหากใครเรียนกวดวิชาเจ๊บีม( ICU)เพราะตรง เป๊ะๆ
   2).เคมี เป็นการปราบ อ.อุ๊เกือบอยู่หมัด เพราะคำถามเป็นไปทางเชิงวิเคราะห์มากๆจนเกือบไม่วิเคราะห์
      ที่น่าตกใจคือ มีการคำนวณมากกว่าวิชาฟิสิกส์
   3).ฟิสิกส์ เป็นการปราบกวดวิชาทุกแขนงของฟิสิกส์โดยเฉพาะNeoยกเว้น IDEAL เพราะมีข้อคำนวณไม่ถึง20%จากข้อสอบทั้งหมด   
      มีคนหลายคน รู้สึกว่าฟิสิกส์ออกไปทางแนวความถนัดวิศวะ ซึ่งเลียนแบบแนวมาจากGATซะส่วนใหญ่คือเน้นวิเคราะห์
    และข้อเสียคือ คำถามไม่คลุมเครือ ถามอยู่ไม่กี่เรื่อง โดยเฉพาะกลศาสตร์มากเหลือเกิน   ไฟฟ้าเจอบ้าง

เราจะเห็นได้ว่า  GAT และ PAT ต้องการทำลายกวดวิชาจริงๆ
แต่มองในมุมกลับกัน กวดวิชา สอนตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งสอนเหมือนกับโรงเรียน
แสดงว่าระบบGAT PAT ทำลายโรงเรียนไปด้วย

ข้อสรุปจึงออกมาว่า  ไม่ว่าจะเรียนที่ไหน ก็สอบไม่ได้เช่นกัน
เด็กนักเรียนต้องเสียเงินกวดวิชามากขึ้น เพราะครูไร้คุณภาพ
เด็กมีภาวะเครียดมากขึ้นจากการเรียนหลายวิชาและไม่ตรงจุดประสงค์
ผู้ปกครองมีภาระเรื่องค่าใช้จ่ายคือรายวิชาละ200แต่เด็กไม่มีความรู้ไปสอบ
กวดวิชาครูปิงโดนถล่ม กวดวิชาNeoทำเอาสูตรลัดพิการ
กวดวิชาเจ๊บีมยิ้มหน้าบาน
เด็กนักเรียนก็ยังไม่มีใครรู้เหตุผลที่รวมวิชาวิทยาศาสตร์
อ้อและเมื่อมีระบบGPAXเข้ามา ต้องเรียนทั้งที่กวดวิชาที่ดัง ค่ารถในการเดินทาง และต้อง
เรียนกวดวิชาครูในรร.เพื่อทำเกรดอีก 

ปล.ขอจบแบบห้วนๆเลยแล้วกันคับ พิมไปงั้นๆ กำลังเซงอะไรในอารมณ์
ปล2.ขอบคุณคับ

Offline IPPUsama

  • *
  • 5419
  • 29
  • One sky, one destiny
โดยส่วนตัว พี่คิดว่า เค้าไม่น่ารวมวิทย์เข้าด้วยกันตั้งแต่สมัย A-O-net แล้ว
สายวิทย์มันไม่ได้รวบยอดรวมได้เหมือนสายศิลป์นะ
แทนที่จะรวมวิทย์นี่ รวมไทยกับสังคมไปเลยดีกว่ามั้ย? (ประชดนะอย่าคิดมาก)
สำหรับคนตกภาษาไทยขั้นหนักอย่างพี่แล้ว ข้อสอบสังคมบางข้อ พี่ยังอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเลย  :P
พอรวมวิทย์แล้วทำให้เฉลี่ยน้ำหนักที่ใช้สอบเข้าออกมา ไม่ค่อยต่างกับภาษาไทย หรือสังคมเลย
เด็กสายวิทย์บางคนอาจจะติดคณะวิทย์เพราะคะแนนสายศิลป์สูงเลยด้วยซ้ำ


เรื่องข้อสอบใหม่ๆที่ว่าปราบกวดวิชาเนี่ย พี่ว่าเดี๋ยวพอมีเด็กสอบแล้วก็ไปบอกเหล่าสถาบันกวดวิชา หรือทางสถาบันได้แนวข้อสอบมา
เค้าก็เอาไปปรับปรุงหลักสูตรกันใหม่เองล่ะ  เดี๋ยวทางรัฐบาลก็ต้องเปลี่ยนวิธีเอนท์หนีไปเรื่อยๆในอนาคต
ตราบใดที่ยังแก้ที่ทางโรงเรียน และทัศนคติของนักเรียนเองไม่ได้ ก็จะเป็นวงจรอุบาทว์อย่างนี้ไปเรื่อยๆ


ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษ พี่ว่ามันเป็นวิชาที่สำคัญมากนะครับ
ยังไงมันก็เป็นวิชาที่สำคัญกับทั้งทางสายวิทย์และสายศิลป์อยู่แล้ว
เพราะถ้าเข้ามหาวิทยาลัยไป น้องก็ต้องอ่าน text ที่เป็นภาษาอังกฤษนะ

เรื่องอื่นๆรอพี่ๆคนอื่นมาตอบนะ ตอนนี้พี่ขอตอบแค่นี้ก่อน ถ้านึกไรออกจะมาโพสต์อีกที   :P

\ \ Oath's Charm, Passing Memories / /

<<  ~  OathKeeper & ObliVion  ~  >>

Offline Taiyakikung

  • *
  • 1505
  • 10
โดยส่วนตัวพี่ว่าตอนรวมวิชาวิทยาศาสตร์เป็นวิชาเดียวมันงี่เง่ามากมาตั้งแต่แรกแล้ว
อย่างA-net physicsเราเรียนกันมาตั้งสามปีหรือมากกว่านั้นแต่ดันให้มาสอบแค่25ข้อ แค่25ข้อนี่เราต้องเรียนมาสามปีเลยเหรอ ???แถมออกบทไม่ครบอีก
การออกข้อสอบหนีกวดวิชายิ่งไร้สาระไปใหญ่ เพราะมันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึั้นเลย ไม่ได้แก้ปัญหาที่บุคลากร(ครู)ที่ไม่ได้คุณภาพ
เดี๋ยวอาจารย์ตามสถาบันกวดวิชาเค้าก็เปลี่ยนแนวการสอนทันแนวข้อสอบอยู่ดีแหละ อาจารย์กวดวิชาวิทยายุทธไม่ได้อ่อนกว่าคนออกข้อสอบเลยครับ ::)
อย่างคนออกข้อสอบEntเลขที่พี่รู้จักเค้าอาจจะเก่งมากก็จริงแต่เค้าไม่ได้เก่งในเรื่องการวัดผลการเรียนการสอนมากไปกว่าอาจารย์กวดวิชาบางท่านหรอก(รู้สึกแค้น >:()
ข้อสอบเลขที่น้องบอกว่าเน้นม.4 พี่ไม่ค่อยเข้าใจว่าเค้าจะเน้นม.4ทำไม ???  ควรจะให้ความสำคัญทุกๆบทเท่าๆกันไม่ใช่เหรอ อย่างงี้ม.5-6เราก็ไม่ต้องเรียนมากอะดิ แล้วให้เวลา3ชั่วโมงทำไม :P แค่50ข้อเอง
วิชาภาษาอังกฤษถ้าเค้าออกศัพท์ทุเรศๆมาชนิดว่าเป็นคำที่ใช้ในกลอน+slangแปลกๆก็ปล่อยเค้าไปเถอะครับ เพราะคนทำได้คงมีน้อยมากอาจมีแค่เด็กนานาชาติ
ส่วนพวกวิทยาศาสตร์ ถ้าเค้าถามวิเคราะห์หนักๆ ก็คงไม่ค่อยมีคนทำได้เพราะการเรียนการสอนในโรงเรียนไม่ได้เน้นให้นักเรียนวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งมากนัก
วิชาไทยสังคมถ้าออกมาแล้วไม่ได้ใช้เนื้อหาที่เรียน เด็กม.3ก็คงสอบได้ อาจจะดีก็ได้นะ ;Dล้อเล่น :P
สรุป ถ้าเค้าเปลี่ยนแนวแบบนี้ก็คงจะลำบากกันเกือบทุกคนแหละครับไม่ต้องกังวลมากจนเกินไปครับ ติดตามข่าวดีๆว่าคนอื่นเค้าทำยังไงกันบ้าง
แต่น่าสงสารอะ ต้องเสียเงินค่าเรียนมากขึ้นมากๆ :P



Offline <[S]houne[N]>

  • *
  • 976
  • 39
  • ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!!!
เห็นน้องเขียนแล้วน่าเห็นใจจริงๆ -*-



พี่ว่านะเริ่มแรกเลย  ไอ้กวดวิชาอะไรเนี่ยมันก็ไม่ค่อยจำเป็นไม่ค่อยบูมหรอก  สอบสมัยก่อนเค้าก็ไม่เห็นจะต้องมานั่งเรียนกัน  แต่ว่า... เมื่อมันมีคนเรียนแล้วทำให้เค้าทำคะแนนสอบได้ดี  คนอื่นก็เลยต้องไปเรียนเพื่อหวังที่จะเพิ่มคะแนนให้กับตัวเองในการสอบแข่งขันเช่นกัน(ขึ้นชื่อว่าสอบ"แข่งขัน"แล้วนี่  มันยอมกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก)  เลยกลายเป็นว่ากวดวิชาเป็นสิ่งที่จำเป็นไปเสียแล้ว  อันนี้จะโทษครูก็ไม่ได้เพราะครูแต่ละท่านก็สอนตามหลักสูตร  โทษนักเรียนก็ไม่ได้เพราะเค้าก็อยากไปเรียนเอง  โทษกวดวิชาก็ไม่ได้เพราะเค้าก็ไม่ได้ไปบังคับให้นักเรียนมาเรียน



ที่บอกว่าครูไม่มีคุณภาพพี่ว่ามันก็จริงบางส่วนนะ  ย้ำว่าแค่บางส่วน  ครูดีๆ ยังมีอีกเยอะ  แต่ที่ว่าเด็กโดดเรียนน่ะ  ในมุมมองของพี่นะไม่ใช่เพราะว่าครูอย่างเดียวหรอก  มันอยู่ที่เด็กด้วย  พี่ก็ไม่เข้าใจนะ  ครูบางคนก็สอนเข้าใจดีแต่เด็กไม่อยากเรียนเอง  ที่โดดไปก็ใช่ว่าโดดเข้ากวดวิชาอะไรหรอก  โดดไปอยู่บ้าน  ไปเที่ยวเสียมากกว่า  เพราะความขี้เกียจ  พี่ว่าก็ควรจะมีการปลูกฝังนักเรียนตรงจุดนี้ด้วย



ส่วนที่โดดไปเพราะว่าครูไม่ดีก็มีเหมือนกันนะ  เห็นว่าครูสอนไม่รู้เรื่อง  จะเข้าไปนั่งในห้องทำไมให้เสียเวลา  อย่าไปเรียนเลยจะดีกว่า  ก็มี (และก็มีพอสมควรด้วยซ้ำ)



และที่สำคัญ  ที่โดดเรียนเพราะไอ้การสอบแบบนี้ก็มีเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก  โดยเฉพาะช่วงใกล้สอบ  เพราะอะไรน่ะหรือ?  เพราะว่าอ่านหนังสือกันไม่ทันบ้าง  ไปเรียนพิเศษบ้าง  อันนี้พี่เข้าใจเลยนะ  เด็กส่วนใหญ่เครียดเพราะข้อสอบนั้นยาก  เนื้อหาก็มีมาก  ใครจะมานั่งเรียนที่โรงเรียนกับวิชาละแค่ไม่กี่บทก่อนสอบ  แทนที่จะไปอ่านทบทวนอีกเกือบยี่สิบบทที่จะสอบล่ะจริงมั้ย?



พี่ว่านะที่กระทรวงฯ เค้าออกกฎเกณฑ์การใช้ GPAX ก็เพื่อให้เด็กกลับมาสนใจเรียนในห้องก็จริง  แต่ทว่ามันก็เหมือนกับว่าไปบีบเด็กให้ต้องทำเกรดกันดีๆ อีก  กลายเป็นว่าเด็กก็ยังต้องพึ่งเรียนพิเศษเพราะ "กลัว" ว่าจะทำเกรดในโรงเรียนได้ไม่ดี  พี่ว่าเรื่องแบบนี้มันต้องใช้เวลาแก้กันอีกนานเลยอ่ะ  พี่ว่านะน่าจะให้มีการเช็คชื่อเข้าเรยีนให้จริงจังไปเลยอ่ะ  ตรงนี้พี่ว่าครูไทยบางคนยังหละหลวมกันมาก  เอาเป็นแบบว่าใครมาไม่ครบก็ตกไปเลย  ทำให้จริงๆ แล้วมันอาจจะแก้ได้ในขั้นต้น (แต่ก็ที่ปลายเหตุนั่นแหละ)  แต่ที่ดีที่สุดก็คือการปลูกฝังจิตสำนึกเรื่องการไปโรงเรียนการเข้าเรียนให้ถูกต้อง



พี่ว่าถ้าจะแก้ปัญหาการไปกวดวิชาให้ได้นะ  สิ่งที่ควรจะทำคือ... (อาจจะแก้ได้  แต่พี่ก็เชื่อว่ากวดวิชาคงไม่หมดไปง่ายๆ หรอก)


1. ปรับให้มาตรฐานการศึกษาของทุกโรงเรียนในประเทศให้มันเท่าเทียมกันซะ  ทั้งวันปิดเทอม-เปิดเทอม  และออกข้อสอบคัดเลือกให้ไม่อยากเกินไป (จะพุดข้อต่อไป)  ถ้าทำได้แบบนี้พี่ว่ามันก็จะลดช่องว่างได้เยอะ  เด็กก็จะไม่ต้องไปขวนขวายหาอะไรข้างนอกเรียนให้มากจนเกินไป  ก็จริงอยู่ที่ว่าอาจจะมีบางคนคิดว่าเมื่อเรียนเท่ากันหมดก็น่าจะหาอะไรมาเพิ่มเพื่อไปให้ได้ไกลกว่าคนอื่นสิ  แต่พี่ว่ามันก็น่าจะน้อยลงนะ  แต่พี่ว่าข้อนี้ต่อให้เป็นอีกสักกี่ร้อยปีก็ยังทำไม่ได้หรอก  มันอุดมคติเกินไปมากๆ


2. ข้อสอบอ่ะ อย่าออกให้มันยากเกินไป (อย่าง O-net พี่ว่าความยากง่ายมันพอเหมาะแล้วนะ  แต่ A-net นี่ไม่ไหวอ่ะ)  และออกแยกตามวิชาด้วย  พี่เคยได้ยิน  ย้ำ! ว่าเคยได้ยิน  ขอให้อาจแล้วพิจารณาเอาเองว่าจริงเท็จเพียงใด  การออกข้อสอบเช่นวิชาคณิตศาสตร์อะไรแบบนี้  อาจารย์จากมหาวิทยาลัยหลายๆ แห่งจะมาช่วยกันออก  แล้วคัดเลือกออกมา  แล้วผลเป็นไงเหรอครับ  ถามได้!  อาจารย์แต่ละคนก็ออกให้มันยากสุดๆ ไปเลยน่ะสิครับ  เพราะอะไรล่ะ  เพราะอาจารย์แต่ละท่านก็อ้างชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยไงครับ  ว่าถ้าออกง่ายเกินไป  เค้าก็ไม่เลือกไปออกข้อสอบ  เสียชื่อมหาวิทยาลัยตัวเองหมด  ขอบอกเถอะว่ากะอีแค่เรียนเลขยากแล้วทำโจทย์ปกติให้ได้ก็แทบจะกระอักกันอยู่แล้ว  ยังจะให้โจทย์พลิกแพลงหลายตลบมาอีก  เด็กก็ไม่ไหวกันสิครับ  ออกอย่าให้เกินความรู้ที่เด็กเรียนมาจากที่โรงเรียน  แล้วอาจจะใช้การคิดพลิกแพลงบ้างเพื่อให้เด็กรู้จักคิดประยุกต์เป็น  แล้วเด็กก็จะเห็นเองว่ากวดวิชาเรียนไปก็เท่านั้น  ไม่จำเป็นอะไรมากมาย

 
2.1 ข้อสอบวิทย์เห็นด้วยว่าแยกวิชาเหอะ  มารวมกันแบบนี้แล้วถามอัดๆๆๆๆๆๆ ความรู้นี่มันไม่ไหวอ่ะ   อย่างชีวะ 50 ข้อ ถามจากหนังสือ 6 เล่มหนาๆ แล้วมีช้อยส์พวก ก และ ข ถูก    ข และ ค ถูก  บลาๆๆๆๆๆ  หลายข้อมากๆๆ  รู้หรอกว่าอยากทดสอบความแม่นอ่ะ  แต่ขอโทษทีถามมากอย่างงี้เด็กมันก็จำกันไม่ไหวหรอก  ไหนจะมีฟิสิกส์กับเคมีอีก  แทบจะเดากันหมดเลย  แล้ววิทย์แต่ละตัวมันก็มีกี่หน่วยกิตล่ะนั่น  ตัวเบ้งๆ ทั้งนั้นแล้วมาสอบอัดกันแบบนี้  เด็กจะเข้าวิศวะก็เอาชีวะมาคิดด้วย  เด็กจะเ ข้าแพทย์ก็เอาฟิสิกส์มาใส่ด้วย (แต่ก็ยอมรับว่าใส่มาก็ได้ ปี 1 เข้ามามันก็ต้องมาเรียนอยู่ดี)  แต่ปรับลดสัดส่วนให้มันเหมาะหน่อยก็ดี  อย่างจาก 100 ให้เป็นเคมีซัก 40  ชีวะ 40  ฟิสิกส์  20 อะไรอย่างเงี้ย


2.2 ข้อสอบอังกฤษ  ถ้าเป็นไปได้อย่างออก Conversation ให้มันยากมากเกินไปก็ดี  เพราะถ้าเด็กไม่รู้ก็คือไม่รู้เลย  โดยเฉพาะพวก idiom เนี่ย  ถ้าไม่ได้ดูหนังฟังเพลงบ่อย หรืออ่านหนังสือมากๆ ก็แทบจะไม่รู้เลย  ใครดูมากฟังมากก็กำไรไป  แต่ก็ไม่ควรตัดภาษาอังกฤษออก เพราะอะไรหรือครับ  เพราะเดี๋ยวนี้แทบทุกอาชีพต้องรู้ภาษาอังกฤษแทบทั้งนั้น  มันเลือกไม่ได้นี่ครับ  ถ้าภาษาไทยเป็นภาษากลางก็ว่าไปอย่าง  แถมระดับมหาวิทยาลัยนะครับ  หนังสือที่ใช้เรียนก็เป็น Tex แทบทั้งนั้น  ไม่ใช่เฉพาะแพทย์หรอกครับ  คณะอื่นก็พอมีเหมือนกัน



อันนี้ขอวิจารณ์ GAT PAT หน่อยนะครับ  พี่ว่ามันเหมือนกับไปเลียนแบบ SAT ยังไงมาก็ไม่รู้สิ (ในความเห็นพี่นะ  และเท่าจากที่ฟังๆ มา)  พี่ว่ามันสอบมากเกินไปจริงๆ และค่าสอบก็โคตรโหด  ใครมีเงินเยอะก็สอบได้เยอะ  ใครมีเงินน้อยขัดสนเงินทองจะสอบทีก็ต้องคิดให้ดี  ไม่ส่งเสริมความเท่าเทียมอย่างมาก  สอบก่อนก็เหมือนกับยิ่งเร่งให้เด็กต้องรีบเรียนให้จบๆ เพราะใครเรียนจบก่อนก็ได้เปรียบ  เอาไปสอบได้คะแนนดีกว่า  ยิ่งเพิ่มให้เด็กเรียนกวดวิชามากขึ้นอีก  เชื่อเหอะ  อีกเดี๋ยวก็มีติวคอร์ส GAT PAT 1 2 3 บลาๆๆ มาให้เพียบ  และเด็กก็จะไปเรียนกัน


*** อันนี้ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ  และสำคัญมากๆๆๆๆ  โปรดใช้วิจารณญาณขั้นสูงนะครับ  ไม่ได้จะว่าผู้ใดหรือกล่าวหาใคร  หรือทำให้เกิดการแตกแยกนะครับ  ถ้า MOD เห็นว่าไม่สมควรก็ลบไปได้เลยนะครับ 

น้องเห็นมั้ยว่าการสอบแพทย์ปี 2533 นี้ไม่ใช้ GAT PAT เลยแม้แต่น้อย  พี่ว่ามันอาจจะบอกอะไรเป็นนัยๆ ก็ได้นะครับ พี่พูดได้แค่นี้แหละ



ส่วนเรื่องครูนั้นก็ยังต้องปรับปรุงบุคลากรครูกันอีกโขเลยล่ะ

การเรียนพิเศษกับครูในโรงเรียนเพื่อเพิ่มเกรดนั้น  นับว่าเป็นจุดล้มเหลวอย่างมากในระบบการศึกษาไทย  มีน้องคนนึงเพิ่งโทรมาบ่นกับพี่เองว่าโรงเรียนแห่งหนึ่งในต่างจังหวัด  เพื่อนน้องที่ไม่น่าจะได้เกรด 3.5 เลขยาก กลับได้  น้องเค้าว่าเรียนมาด้วยกันมันก็รู้ๆ กันอยู่ว่าใครเป็นยังไง  เพื่อนน้องคนนี้ได้คะแนนเก็บ 29 จาก 60 ก่อนสอบปลายภาค  แต่เพราะเด็กคนนี้เรียนพิเศษกับครูที่สอนเลข ลองคิดดูละกันครับ 


แล้วน้องยังบอกอีกว่าเค้าติด 0 ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้  เค้าโทรมาบ่นกับพี่ใหญ่  พี่เลยบอกว่าให้เค้าไปคุยกับครู  ผลปรากฎว่าไงเหรอครับ  ครูเค้าคิดเกรดผิด!!! เชื่อมั้ยล่ะ  และเค้าก็ไม่ยอมแก้ให้ด้วย  อ้างว่าส่งฝ่ายทะเบียนไปแล้ว  แต่ก็ยังดีนะครับที่เขารับผิด  ครูบางท่านไม่ยอมให้ดูคะแนนด้วยซ้ำไป  เพราะอะไรเหรอครับ  เพรากลัวเสียหน้า!  แล้วอย่างงี้เหรอจะมาเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของชาติได้  ตัวเองทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด  ไม่รับผิดชอบ

เรื่องที่เล่ามาก็คิดกันเอาเองนะครับว่าจริงเท็จเพียงใด  เพราะพี่ก็ยังมีบางอย่างที่ยังไม่แน่ใจ  แต่พี่ก็ไม่เห็นจุดประสงค์ที่น้องคนนี้เค้าจะโทรมาหลอกพี่นะครับ


แต่ก็อย่าลืมนะครับว่ายังไงครูดีๆ ก็ยังมีอยู่อีกมากมาย


พี่ขอบ่นแค่นี้ก่อนละกัน 555+  ครั้งนี้เขียนเยอะมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


**** ย้ำว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ โปรดใช้วิจารณญาณด้วยนะครับ       ขอบคุณครับ
« Last Edit: March 12, 2009, 09:21:36 pm by <[S]houne[N]> »