Docchula Community

ถ้าไม่ชอบหมอ จะเรียนได้มั๊ย

Offline exFictitiouZ

  • *****
  • 456
  • 191
    • exFictitiouZ's Gallery
โห น้อง คิดเหมือนพี่ตอนจะเข้าเป๊ะเลยอะ หมอก็พอเรียนได้ ไม่ได้ชอบมากนัก ในขณะที่วิศวะอยากเรียนแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะไปได้แค่ไหน ประมาณว่าไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งซักอย่าง แต่ให้เครดิตวิศวะเหนือหมอ สุดท้ายต้องเรียนหมอเพราะแม่บังคับ (เรื่องแบบนี้มันเป็นปัญหาครอบครัวอันยิ่งใหญ่เลยสำหรับพี่ = =)

ส่วนเรื่องวิศวะตกงานนี่ น้องอย่าไปใส่ใจครับ กระแสมันมาจากการสำรวจสถิติ ซึ่งน้องต้องมองให้ดี ๆ ว่าเดี๋ยวนี้ที่ไหน ๆ ก็เปิดวิศวะทั้งนั้น มหาลัยเอกชนโนเนมก็มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่เหมือนคณะแพทย์ที่ไม่ใช่ทุกมหาลัยจะมีให้เรียน น้องมาดูสถิติวิศวจุฬาฯ ที่น้องจะเข้าดีกว่า เพราะที่ผ่านมาพี่ก็รู้จักพี่นายช่างจบใหม่หลายคน (ไปคณะนั้นบ่อยจัดด้วยเหตุผลหลายประการ) เค้าก็มีงานทำหลังจบกันทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดกว่าสิ่งไหนเลยคือความสำเร็จของคนขึ้นกับตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ว่าน้องจบวิศวะมาแล้วจะตกงานอย่างเดียว แบบนั้นใครจะไปเรียน ถ้าสมมุติว่าคนส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่าน้องจะไม่ประสบความสำเร็จปะครับ ? น้องอาจจะเป็นส่วนน้อยก็ได้หนิ ? พูดเรื่องส่วนมากส่วนน้อย แค่คนเอนท์ติดก็ส่วนน้อยของประเทศแล้วนะ ถ้าเพิ่มเงื่อนไขเป็นเอนท์ติดจุฬานี่ยิ่งเป็นส่วนน้อยมากเข้าไปอีก เห็นมั้ยว่าการเป็นส่วนน้อยไม่ใช่เรื่องยาก ?

ถ้าอยากเรียนคณะไหนก็เรียนที่นั่นครับ เว้นแต่มีปัจจัยภายนอกเช่นบุพการีสุดที่รักเขาจะไม่ยอมท่าเดียว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ "OTL
เราจะเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ฟังเพื่อนครับ 5 5 5 +
« Last Edit: June 20, 2010, 01:43:54 am by exFictitiouZ »

exFictitiouZ on Twitter and Multiply
ATP

Offline Relativity

  • *
  • 274
  • 16
  • - Publicity is a whore -
โดยส่วนตัว มีความเห็นเหมือนอาจารย์ภุชงค์ว่า มันขึ้นกับว่า เรามีทัศนะที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร

หรือถ้ากล่าวอีกนัยยะหนึ่ง ก็คือ ประเด็นมันอยู่ที่ ทัศนคติของเราที่เชื่อว่า ถ้ามีชีวิตแบบไหนถึงจะมีความสุข

(เพราะผมเชื่อว่าคงมีน้อยคนมากที่อยากจะให้ชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ทั้งชีวิต)

ถ้าเราตั้งธงว่า ต้องเรียนจบ แล้วมีงานที่มั่นคง มีเงินเดือนสูงๆ ถึงจะมีความสุข ก็ต้องเลือกแบบที่จะทำให้เกิดผลเช่นนั้นครับ

อันที่จริงแล้ว ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกที่ว่านี้ดี เพราะมันเหมือนทางแยกสำหรับเลือกเส้นทางในชีวิต

ฉะนั้น ผู้เลือกเส้นทางล้วนแต่ปรารถนาจะเดินในเส้นทางที่มีสวัสดิภาพสูงสุด แต่ในโลกแห่งความเป็นจริง

ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ มันต้องแลกด้วยสิ่งอื่นเสมอ ฉะนั้น เปิดหูเปิดตาให้กว้างที่จะ

รับรู้ข้อมูลต่างๆ และใช้ปัญญาคิดพิจารณา ใคร่ครวญ และไตร่ตรองให้ดี แล้วเลือกในสิ่งที่ เหมาะสม

กับตัวเองมากที่สุด หลังจากนั้น ก้าวเดินต่อไปอย่างกล้าหาญ มีความเพียร และมีสติ

เชื่อว่าชีวิตย่อมดำเนินต่อไปได้โดยสวัสดี โชคดีนะครับ    :)
"If you will not fight for the right when you can easily win without bloodshed; if you will not fight when your victory will be sure and not too costly; you may come to the moment when you will have to fight with all the odds against you and only a small chance of survival. There may even be a worse case: you may have to fight when there is no hope of victory, because it is better to perish than to live as slaves."
----- Winston Churchill

Offline pipe64

  • *****
  • 3481
  • 604
ขอบคุณพี่หมอสำหรับทุกความคิดเห็นที่มีคุณค่าคับ  ผมขอให้ข้อมูลเพิ่มเติม  โดยเฉพาะ อยากให้ doctorpuchong  และพี่หมอ pipe MDCU 64  ได้ตอบให้ผมอีกคับ  กับข้อมูลที่ผมจะให้เพิ่มเติมคับ  หรือพี่หมอในชั้นปีสูง ๆ  หรือที่จบและทำงานแล้ว

ทัศนคติในแง่ลบ  สาเหตที่ทำให้ผมไม่ชอบอาชีพหมอคือ  หมอเรียนหนัก  ทำงานหนัก
 
ฮะๆ พี่แิอบคิดเหมือนเรานะ แต่หลังๆ เริ่มคิดว่า ความคิดนี้คิดเข้าข้างตัวเองอ่ะ ... ทำไมพี่ถึงคิดอย่างนี้ ?
ถ้าตัดสินว่า หมอ เรียนหนัก ทำงานหนัก เพราะ อ่านหนังสือหนาๆ ทำงานอดหลับอดนอน  ?
พี่ว่าแต่ละคณะก็เรียนหนักเหมือนกันนะ
ถ้าเรียนนิเทศ ... การต้องท่องบทเอาเป็นเอาตาย ถ่ายแล้วถ่ายอีก
ถ้าเรียนครุ ... นั่งเตรียมการสอน ระหว่างสอนก็ต้องคิดว่าเด็กจะรู้เรื่องมั้ย หลังสอน เอ เด็กเค้าเข้าใจหรือเปล่า
ถ้าเรียนวิทย์กีฬาฯ ... สำหรับคนที่ไม่สันทัดกีฬา มันก็ยากนะ เค้าต้องฝึกฝนกันอีกนานเลยนะๆ
ดังนั้นพี่ว่า เรียนคณะไหนก็ตามยากไม่เท่ากัน แต่ใช้ความพยายามเท่ากัน

สิ่งที่ดีของอาชีพหมอ  หากผมจะเลือกเรียนคือ      อาชีพมั่นคง  เรียนจบหมอเท่ากับประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว  และเร็วกว่าอาชีพอื่น ไม่ตกงาน   อยากไดรับคำตอบว่าถ้าผมคิดแบบนี้คิดถูกต้องมั๊ยคับ


อืม ถ้าคำว่า "มั่นคง" ของน้อง คือ เรียนจบปุ๊ป มีงานรองรับปั๊ป อาชีพหมอก็ตอบโจทย์น้องได้

เดิมที่ผมก็ว่าจะเรียนวิศวะ แต่เพื่อนในห้องส่วนใหญ่จะเรียนต่อหมอกัน  และผมก็เห็นคุณพ่อผมซึ่งจบวิศวะ จุฬา  ก็ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตเท่าที่ผมอยากจะเป็น  ปัจจุบันนี้คุณพ่อทำธุรกิจส่วนตัวกับเพื่อนเงินเดือนได้เดือนเว้นเดือน หรือหลายๆ เดือนจะได้ครั้งนึง และไม่คิดจะลงทุนทำอะไร  เพราะการทำธุรกิจต้องใช้เงินทุน ขณะนี้ครอบครัวมีรายได้จากคุณแม่คนเดียวทำงานรัฐวิสาหกิจซึ่งมีรายได้ไม่มากคับ  เท่ากับตอนนี้เรามีฐานะจนเหมือนกันคับ แต่โชคดีไม่มีหนี้สิน  นี่ก็เป็นสาเหตุทำให้ผมลังเล  ไม่แน่ใจในการที่จะเลือกเรียนคับ


ที่ถามว่าเราคิดถูกมั้ย ... คงตอบให้ไม่ได้
แต่อย่างที่ตอบไปตอนแรกๆอ่ะ (rep ของพี่เองอันบนๆ) ว่า แต่ละคนมีภาพของตัวเองในอนาคตไม่เหมือนกัน, มีความจำเป็นไม่เหมือนกัน
บางคน ที่บ้านมีพร้อมทุกสิ่งอัน จะเรียนอะไรก็ได้ตามความสนใจ ตามความสามารถ
บางคน อาจมีภาระที่บ้านอยู่ การเลือกอาชีพที่สามารถมาจุนเจือครอบครัวได้ ก็เป็นตัวกำหนดการเลือกอาชีพของน้อง (ป่ะ?)

งั้นขอถามกลับว่า "อะไรที่เป็นเครื่องตัดสินของเรา่ว่า ... จะเรียนคณะอะไร"
เครื่องมือนั้น คือ ความมั่นคงในอนาคต จบมาเลี้ยงดูที่บ้านได้, ได้เรียนในสิ่งที่ัรัก ?
ถ้าหามันเจอ นั่นแหละจะเป็นคำตอบว่าเรา(มีแนวโน้ม)จะไปเรียนคณะอะไร

และถ้าผมจะเรียนหมอผมก็รู้สึกมีเงื่อนไข เช่น  อยากอยู่หอพักดี ๆ คนเดียวเพราะจะได้ไม่เหนื่อยมาก  ไม่เสียเวลาเดืนทาง  หรืออยู่คอนโดดีๆ ใกล้คณะเพื่อผมจะได้มีแรงจูงใจเรียนคิดประมาณนี้นะคับ ถ้าจะเรียนหมอก็อยากได้แบบนี้  ในความคิดพี่ ๆ หมอคิดเห็นอย่างไรคับ  


ไอ้อารมณ์ที่อยากได้อะไรเมพๆ ไม่แปลกนะ พี่ก็อยากได้ ใครๆ ก็อยากได้
แต่สำหรับพี่ มันไม่มีผลขนาดนั้นอ่ะ ว่าแต่... สำหรับเรามันมีผลแค่ไหนกันละเนี่ย ^^"

เคยถามตัวเองเล่นๆ มะว่า
ถ้าติดหมอ + ได้อะไรเมพๆ ---> จะเรียน
ถ้าติดหมอ + ได้อะไรไม่เมพมาก ---> จะเรียนหรือเปล่า ?

ถ้าเรียนวิศวะ อยากได้อาชีพมั่นคงก็คงต้องไปทำงานรัฐวิสาหกิจ ราชการ ซึ่งเงินเดือนน้อยคับ  อายุเท่าไรจะตั้งตัวมีทุกอย่างให้ครอบครัวได้อย่างมีความสุขคับ  และต้องเลี้ยงดูพ่อแม่อีกคับ มีพี่รหัสเรียนหมอขึ้นปี 2  ตอนปีหนึ่งที่จบได้เกรด 2.7   ซึ่งทราบมาว่าตอนต้ดสินใจก็ไม่ชอบเรียนหมอ  ผลการเรียนบอกได้มั๊ยคับว่านี่คือผลของการไม่ขอบเรียนหมอ  อย่างนี้ถ้าขึ้นไปเรียนปี 2 3  พี่เค้าจะได้เกรดเหลือเท่าไหร่  เพราะเรียนยากขึ้นอีก
ขอบคุณสำหรับพี่หมอ ๆ ที่เข้ามาตอบคับ

เกรดปี 1 ไม่ reflect ความชอบ ความเหมาะสมกับวิชาชีพแพทย์ เพราะ ปี 1 ยังแทบไม่ได้สัมผัสอะไรที่เป็นแพทย์เ้ลย
เพื่อนพี่คนนึงเกรดปี 2 เกือบทะลุเพดาน แต่ตอนปี 1 เกรดก็กลางๆของคณะอ่ะ
ซึ่งบางคนเนี่ยเข้าปี 1 มา ยังปรับตัวไม่ได้, ยังไม่รู้วิธีการเรียนที่เหมาะสมอะไรงี้ หรือ คิดว่าจะชิวเพื่อฉลองการสอบได้อ่ะ

อย่างที่บอกไปแล้วอ่ะ กว่าเราจะรู้จริงๆ ว่าคณะนั้น อาชีพนั้น เป็นไงต้องรอปีโตๆ
แต่คนเราคงมาลองเรียนกันนานขนาดนั้นไม่ได้ แนะนำว่าวิธีที่จะทำให้น้องรู้จักกับแต่ละคณะดีขึ้น
การฟัง ... ฟังจากคนที่เรียนอยู่ตอนนี้ , คนที่เคยเรียนที่นั้น แต่อย่าลืมว่า แต่ละคนมี bias นะๆ อย่าลืมสังเกตว่า คนที่ให้ข้อมูลเนี่ย เป็นมนุษย์ CONC, Activist
การเข้าไปสัมผัส ... ตอนคณะไหนมี open house รีบไปดูๆ เดินๆ ซะ มีรุ่นพี่หลากหลายให้ถาม มีบรรยากาศในคณะให้เห็น
และสิ่งที่(บางคน)ไม่ค่อยทำ คือ เข้าเว็บไซต์ของคณะนั้นๆ ไปดูหลักสูตร ไปดูกันเลยว่า เราจะได้เรียนรู้่อะไรบ้างตลอดเวลาที่ศึกษาในคณะนั้นๆ
บางทีดูชื่อวิชาแล้วไม่เก็ท ก็ดูคำอธิบายรายวิชาอะไรงี้ น้องจะได้รู้กันจริงๆ ว่าเค้าเรียนอะไร


เลือกคณะที่ตรงใจตัวเอง และเหมาะสมที่สุดละกัน
เป็นกำลังใจให้

 :)
« Last Edit: May 22, 2010, 10:39:40 pm by Pipe »

อ่านกระทู้นี้แล้ว นึกถึงตัวเองตอนกำลังต้องเลือกจริงๆ

บางคนได้เืลือก ในสิ่งที่อยากเลือกจริงๆ
บางคนเลือก เพราะไม่รู้จะเลือกอะไร
บางคนเลือก เพราะมีคนอื่นเลือกให้

โอกาสเป็นของน้องนะครับ เลือกดีๆ
สำหรับพี่ที่ได้เลือกมาด้วยเหตุผลกลใดมาแล้ว ก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองได้เลือกแล้วให้ดีที่สุดครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ :))

Offline U-P

  • *****
  • 590
  • 28
  • Too much hope is the opposite of despair.

โห น้อง คิดเหมือนพี่ตอนจะเข้าเป๊ะเลยอะ หมอก็พอเรียนได้ ไม่ได้ชอบมากนัก ในขณะที่วิศวะอยากเรียนแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะไปได้แค่ไหน ประมาณว่าไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งซักอย่าง แต่ให้เครดิตวิศวะเหนือหมอ สุดท้ายต้องเรียนหมอเพราะแม่บังคับ (เรื่องแบบนี้มันเป็นปัญหาครอบครัวอันยิ่งใหญ่เลยสำหรับพี่ = =)

ถึงน้องจะคิดคล้าย ๆ พี่แต่พี่ขออย่าให้น้องต้องมาเจอปัญหาบัดซบแบบพี่เลยนะ

ส่วนเรื่องวิศวะตกงานนี่ น้องอย่าไปใส่ใจครับ กระแสมันมาจากการสำรวจสถิติ ซึ่งน้องต้องมองให้ดี ๆ ว่าเดี๋ยวนี้ที่ไหน ๆ ก็เปิดวิศวะทั้งนั้น มหาลัยเอกชนโนเนมก็มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่เหมือนคณะแพทย์ที่ไม่ใช่ทุกมหาลัยจะมีให้เรียน น้องมาดูสถิติวิศวจุฬาฯ ที่น้องจะเข้าดีกว่า เพราะที่ผ่านมาพี่ก็รู้จักพี่นายช่างจบใหม่หลายคน (ไปคณะนั้นบ่อยจัดด้วยเหตุผลหลายประการ) เค้าก็มีงานทำหลังจบกันทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดกว่าสิ่งไหนเลยคือความสำเร็จของคนขึ้นกับตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ว่าน้องจบวิศวะมาแล้วจะตกงานอย่างเดียว แบบนั้นใครจะไปเรียน ถ้าสมมุติว่าคนส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่าน้องจะไม่ประสบความสำเร็จปะครับ ? น้องอาจจะเป็นส่วนน้อยก็ได้หนิ ? พูดเรื่องส่วนมากส่วนน้อย แค่คนเอนท์ติดก็ส่วนน้อยของประเทศแล้วนะ ถ้าเพิ่มเงื่อนไขเป็นเอนท์ติดจุฬานี่ยิ่งเป็นส่วนน้อยมากเข้าไปอีก เห็นมั้ยว่าการเป็นส่วนน้อยไม่ใช่เรื่องยาก ?


ถ้าอยากเรียนคณะไหนก็เรียนที่นั่นครับ เว้นแต่มีปัจจัยภายนอกเช่นบุพการีสุดที่รักเขาจะไม่ยอมท่าเดียว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ "OTL
เราจะเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ฟังเพื่อนครับ 5 5 5 +


พี่ก็คล้ายๆแบบนี้เลยครับ ต่างนิดนึงตรงที่พี่ exFict เค้าเก่งฟิสิกมาก และพี่โง่ ฟิสิกมาก และแม่พี่หว่านล้อมแกมบังคับ

Offline Kudoconan

  • *
  • 1093
  • 14

โห น้อง คิดเหมือนพี่ตอนจะเข้าเป๊ะเลยอะ หมอก็พอเรียนได้ ไม่ได้ชอบมากนัก ในขณะที่วิศวะอยากเรียนแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะไปได้แค่ไหน ประมาณว่าไม่มีอะไรเป็นหลักเป็นแหล่งซักอย่าง แต่ให้เครดิตวิศวะเหนือหมอ สุดท้ายต้องเรียนหมอเพราะแม่บังคับ (เรื่องแบบนี้มันเป็นปัญหาครอบครัวอันยิ่งใหญ่เลยสำหรับพี่ = =)

ถึงน้องจะคิดคล้าย ๆ พี่แต่พี่ขออย่าให้น้องต้องมาเจอปัญหาบัดซบแบบพี่เลยนะ

ส่วนเรื่องวิศวะตกงานนี่ น้องอย่าไปใส่ใจครับ กระแสมันมาจากการสำรวจสถิติ ซึ่งน้องต้องมองให้ดี ๆ ว่าเดี๋ยวนี้ที่ไหน ๆ ก็เปิดวิศวะทั้งนั้น มหาลัยเอกชนโนเนมก็มีคณะวิศวกรรมศาสตร์ ไม่เหมือนคณะแพทย์ที่ไม่ใช่ทุกมหาลัยจะมีให้เรียน น้องมาดูสถิติวิศวจุฬาฯ ที่น้องจะเข้าดีกว่า เพราะที่ผ่านมาพี่ก็รู้จักพี่นายช่างจบใหม่หลายคน (ไปคณะนั้นบ่อยจัดด้วยเหตุผลหลายประการ) เค้าก็มีงานทำหลังจบกันทั้งนั้น
ที่สำคัญที่สุดกว่าสิ่งไหนเลยคือความสำเร็จของคนขึ้นกับตัวบุคคลครับ ไม่ใช่ว่าน้องจบวิศวะมาแล้วจะตกงานอย่างเดียว แบบนั้นใครจะไปเรียน ถ้าสมมุติว่าคนส่วนมากไม่ประสบความสำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่าน้องจะไม่ประสบความสำเร็จปะครับ ? น้องอาจจะเป็นส่วนน้อยก็ได้หนิ ? พูดเรื่องส่วนมากส่วนน้อย แค่คนเอนท์ติดก็ส่วนน้อยของประเทศแล้วนะ ถ้าเพิ่มเงื่อนไขเป็นเอนท์ติดจุฬานี่ยิ่งเป็นส่วนน้อยมากเข้าไปอีก เห็นมั้ยว่าการเป็นส่วนน้อยไม่ใช่เรื่องยาก ?


ถ้าอยากเรียนคณะไหนก็เรียนที่นั่นครับ เว้นแต่มีปัจจัยภายนอกเช่นบุพการีสุดที่รักเขาจะไม่ยอมท่าเดียว นั่นก็อีกเรื่องหนึ่งนะ "OTL
เราจะเป็นตัวของตัวเองได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ฟังเพื่อนครับ 5 5 5 +


พี่ก็คล้ายๆแบบนี้เลยครับ ต่างนิดนึงตรงที่พี่ exFict เค้าเก่งฟิสิกมาก และพี่โง่ ฟิสิกมาก และแม่พี่หว่านล้อมแกมบังคับ

มีแนวนี้หลายคนครับ 555
พี่ก็เปนหนึ่งในนั้น
ไม่ได้อยากเรียนวิศวะนะ แต่อยากทำธุรกิจของตัวเอง คล้ายๆน้องอีกกระทู้
天青色等煙雨 而我在等妳

พลอย

ได้อ่านข้อแนะนำ ความคิดเห็นของพี่ ๆ หมอแล้ว  ทำให้คิดว่าถ้าจะเลือกเรียนหมอเราควรจะมั่นใจ  ถ้าไม่มั่นใจอย่าเลือกอย่าเรียน  เลือกที่มั่นใจเป็นหลัก  มั่นใจว่าเรียนได้  ทำงานได้  ความชอบ  ไม่ชอบ อาชีพมั่นคง  รายได้ดี  มีเกียรติในสังคม  พ่อแม่อยากให้เรียน  เพื่อช่วยเหลือทางบ้าน  ทุกอย่างคือเหตุผลที่ดี

เพราะเท่าที่อ่านมาขนาดคนที่ชอบ  อยากเรียน  พอเรียนไปแล้ว  ก็รู้สึกไม่อยากเรียนแล้ว  ไม่รู้จบไปแล้วจะทำงานเป็นอย่างไร  ซึ่งเป็นความคิดเห็นของพี่ ๆ หมอ แพทย์จุฬาฯ นะคะ  แล้วที่คะแนนต่ำกว่า สถาบันที่คะแนนน้อยกว่าละคะจะเป็นอย่างไรบ้าง  รู้สึกเรียนหนัก  งานหนัก  การทำงานยังกดดันอีก   หนูเริ่มรู้สึกคิดหนักค่ะที่จะเลือกเรียน  ก็เลยคิดว่ามันต้องมีความมั่นใจมาช่วยในการตัดสินใจ  แบบว่าถ้าไม่มั่นใจอย่าเลือกเลยเพื่อความสบายใจและตัดปัญาหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในระหว่างที่เราต้องเรียน  และหลังจากไปทำงานอีก  ซึ่งการทำงานต้องมีความชอบเป็นหลักถึงจะทำได้ดี

แต่สังคมเพื่อน ๆ นะสิ  มันมีผลกับการตัดสินใจของเรา  บางทีมันไม่ได้อยู่ที่ชอบไม่ชอบมันจะเลือกตามกระแสนะคะ  ใจเรามักจะคิดให้เอนเอียงไปทางไหนก็ได้  พอถึงเวลาก็เลือกหมอ  เลือกในสิ่งที่ดีกว่า  ซึ่งถ้าเราไม่เลือกหมอ  ในขณะที่เพื่อนเลือกเรียนหมอกัน  เรารู้สึกทำไมเพื่อนเลือกเรียนกัน  เพราะมันเป็นอาชีพที่ดีกว่าอย่างอื่นๆ  เพื่อนเรียนได้  ทำไมเราจะเรียนไม่ได้ประมาณนั้น  เริ่มชักลังเลค่ะ  ตรงนี่สำคัญมากค่ะ  หนูเลยอยากจะขอความกรุณาพี่หมอที่จบทำงานแล้วซัก 10 ปี  พี่ๆ หมอชั้นปีสูงๆ  และพี่หมอทุกขึ้นปี  ที่มีประสบการณ์ตรงนี้  ได้ให้ข้อคิด  คำแนะนำค่ะ

วิธีคิดเราควรจะคิดอย่างไร  และมีวิธีปลอบใจตัวเองอย่างไร  เมื่อถึงเวลาแล้วเราไม่เลือกหมอ   ถึงเราจะไม่เลือกหมอเราก็ยังรู้สึกลังเลอีกว่าที่เราเลือกอีก 10 - 20 ปี ข้างหน้าจะดีไหม  ในขณะที่หมอมันเป็นอาชีพที่ดีกว่า  เลือกไปแล้ว  จบไปแล้ว  ทำงานไปแล้ว  ไม่น่าจะผิดหวัง  เพียงแต่อาจจะไม่มีความสุข  สุข ๆ ดิบ ๆ 

การเลือกสิ่งที่ดีกว่า  คือการเลือกที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ  เพราะอย่างไรเสีย   มันก็ดีกว่า  มันเหมือนสรุปรวมทุกอย่างอย่างสมบูรณ์อยู่ในนี้แล้ว  อนาคนจะเป็นอย่างไรอีกขึ้นอยู่กับการปรับตัวของเราในการทำงานการใช้ชีวิตให้สมดุลอย่างมีความสุข  มันจะทำได้ไหมค่ะอาจารย์ถ้าไม่ขอบเราจะปรับตัวได้เองในที่สุด  หรือถ้ามีสิ่งที่ดีกว่าในเวลาเมื่อเราทำงานแล้ว ถูกใจกว่ามีเส้นทางในชีวิตใหม่ ๆ ให้เลือกเดิน  เราก็ค่อยเปลี่ยนได้  เรียนอาจารย์ภุชวงค์คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ  ควรคิดอย่างไร


เรื่องเพื่อนพี่ว่าน้องอย่ามองว่าเพื่อนเรียนได้เราก็ต้องเรียนได้เลยค่ะ ประเด็นมันอยู่ที่ว่าเพื่อนเราเลือกจะเป็นอย่างนึง ส่วนเราต้องการจะเรียนอีกอย่างนึงมากกว่า ทุกคนก็ต้องเลือกทางที่เหมาะสมกับตัวเอง อย่าให้เรื่องนี้มีผลกับการตัดสินใจกับอนาคตของน้องเลย พี่ก็ดุ่มมาเรียนคนเดียวจากทั้งโรงเรียนเหมือนกัน แม้แต่รุ่นพี่หรือรุ่นน้องที่จบจากที่เดียวกันยังไม่มีเลย
น้องถามว่าจะปลอบใจตัวเองยังไงถ้าไม่เลือกหมอ สำหรับพี่ก็เหมือนน้องถามว่าทำไมไม่อยากเรียนหมอ เพราะว่าหมอต้องเจอกับอะไรหลายอย่างที่คนอื่นไม่จำเป็นต้องเจอ หรือเจอน้อยกว่า ต้องอดทน ต้องเรียนหนัก ต้องปรับตัวเยอะมาก เจอกับช่วงเวลาที่เหนื่อยที่ท้อเยอะ ยิ่งน้องหยิบตารางเรียนคณะอื่นมาดู น้องอาจสงสัยว่าทำไมมันช่างมีช่องว่างเยอะเหลือเกิน ในขณะที่คณะแพทย์มีน้อยมาก แถมส่วนใหญ่ยังเป็นช่องว่างจอมปลอม (มักมีการนัดเรียนเพิ่ม นัดทำงาน ฯลฯ) คำว่าหมอเรียนหนักไม่ใช่คำขู่ แต่สิ่งที่น้องจะใช้ปลอบใจความเสียดายได้ดีที่สุดคือ น้องได้เลือกในสิ่งที่น้องทำแล้วมีความสุข สิ่งที่น้องต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิต ในขณะที่บางคนเข้ามาแล้วถึงรู้ว่ามันไม่ใช่ และต้องอยู่กับมันไปตลอดชีวิตเช่นกัน
พี่ไม่ค่อยแฮปปี้กับการเรียนนัก(แต่แฮปปี้กับสังคมนะ !!)เลยดูเหมือนจะเชียร์ให้เลือกสิ่งที่ตัวเองชอบมากกว่า แต่พี่คิดว่าถ้าไม่ได้รังเกียจรังงอนความลำบากที่กล่าวมาข้างต้น และคิดว่าการมีความมั่นคงในชีวิตก็ถือเป็นความสุขอย่างนึง คณะแพทย์ก็เป็นตัวเลือกตัวนึงที่ตอบโจทย์ของน้องได้ ทุกคนปรับตัวได้ทั้งนั้นอ่ะ พอถึงวันนึงถ้าน้องสามารถมองข้ามข้อเสียมันไปได้ น้องก็จะแฮปปี้กับสิ่งที่เป็นอยู่มากขึ้นเอง ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเองมากกว่า ..ถึงพี่จะยังอยู่แค่ชั้นปีต้น ๆ แต่พี่คิดว่าตอนที่เราได้รับคำขอบคุณจากคนไข้ ได้เห็นเขาหายดี มันคงจะเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดไปเลย  :)

"I'm just a small man. My heart is moved by what's in front of me, rather than what the world as a whole needs
Walker Allen

Offline bRoWniEs

  • *
  • 314
  • 15
วิธีคิดเราควรจะคิดอย่างไร  และมีวิธีปลอบใจตัวเองอย่างไร  เมื่อถึงเวลาแล้วเราไม่เลือกหมอ   ถึงเราจะไม่เลือกหมอเราก็ยังรู้สึกลังเลอีกว่าที่เราเลือกอีก 10 - 20 ปี ข้างหน้าจะดีไหม  ในขณะที่หมอมันเป็นอาชีพที่ดีกว่า  เลือกไปแล้ว  จบไปแล้ว  ทำงานไปแล้ว  ไม่น่าจะผิดหวัง  เพียงแต่อาจจะไม่มีความสุข  สุข ๆ ดิบ ๆ 

การเลือกสิ่งที่ดีกว่า  คือการเลือกที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ

ตอนนั้นพี่ก็คิดแบบนี้แหละ-*-
ถ้าเกิดเราดื้อ ไม่ทำตามคนอื่นบอกเนี่ย
ต่อไปถ้าไม่ประสบความสำเร็จขึ้นมาจริงๆ
มันจะโดนคนอื่นสมน้ำหน้า "บอกแล้วให้เลือกหมอตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เชื่อ"อะไรแบบนี้
ก็คิดไปล่วงหน้ากันไปได้ขนาดนั้นนนนนน

แต่พี่ว่านะ ถ้ายังมีสิ่งที่ชอบ สิ่งที่อยากทำ
ก็ไปทำตามที่ใจอยากทำเถอะน้อง
ไปอย่างมั่นใจ เหมือนนักรบทุบหม้อข้าวเลยนะ
เวลาที่ท้อ เวลาที่เหนื่อย ก็อย่าให้ความคิดแบบ "ถ้าตอนนั้นเลือกเรียนหมออาจจะดีกว่านี้" เข้ามารบกวนจิตใจล่ะ
เพราะไม่มีใครสามารถเรียนทั้งสองคณะได้ในเวลาเดียวกัน
ไม่มีใครรู้ว่า ถ้าเลือกอีกทางจะดีหรือแย่ มันขึ้นกับตัวเราเองล้วนๆ

เหมือนที่พี่เรพบนบอกว่า"มันเป็นข้อมูลทางสถิติ"
ไม่มีใครบอกได้ว่าอาชีพไหนดีหรือไม่ดี
หมอรวยได้... วิศวกรก็รวยได้... สถาปนิกก็รวยได้... ชาวนาก็รวยได้... เก็บขยะขายยังรวยได้เลย!
คนขยัน ตั้งใจ แสวงหาความรู้มาพัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ก็ประสบความสำเร็จได้หมดแหละ
และ ความชอบ เนี่ยแหละ ที่จะเป็นตัวผลักดันให้เราเกิดการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต
หาตัวเองให้เจอ ถ้ายังหาไม่เจอก็ลองมาเรียนหมอไปก่อนก็ได้55
ค่อยๆหาไป เหมือนที่น้องบอกอ่ะ..

ถูกใจกว่ามีเส้นทางในชีวิตใหม่ ๆ ให้เลือกเดิน  เราก็ค่อยเปลี่ยนได้ 

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ものねれ*ブラウニース

การเลือกสิ่งที่ดีกว่า  คือการเลือกที่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ  เพราะอย่างไรเสีย   มันก็ดีกว่า  มันเหมือนสรุปรวมทุกอย่างอย่างสมบูรณ์อยู่ในนี้แล้ว  อนาคนจะเป็นอย่างไรอีกขึ้นอยู่กับการปรับตัวของเราในการทำงานการใช้ชีวิตให้สมดุลอย่างมีความสุข  มันจะทำได้ไหมค่ะอาจารย์ถ้าไม่ขอบเราจะปรับตัวได้เองในที่สุด  หรือถ้ามีสิ่งที่ดีกว่าในเวลาเมื่อเราทำงานแล้ว ถูกใจกว่ามีเส้นทางในชีวิตใหม่ ๆ ให้เลือกเดิน  เราก็ค่อยเปลี่ยนได้  เรียนอาจารย์ภุชวงค์คิดอย่างนี้ถูกหรือเปล่าคะ  ควรคิดอย่างไร

อ.ภุ-ชวงค์  ขอตอบว่า อาจารย์ก็ไม่รู้จะวัดผิดถูกให้หนูได้อย่างไร อะไรถูก อะไรผิด ก็ขึ้นกับว่าหนูใช้อะไรวัด
-ถ้าเป็นเรื่องความสุข เปลี่ยนใจแล้วมีความสุขกว่าก็คุ้มที่จะเปลี่ยน
-ถ้าเป็นเรื่องเวลา หนูเรียนไปสี่ปีห้าปี หนูอาจรู้สึกไม่คุ้มแล้วที่จะเริ่มใหม่
  แม้ว่ารู้สึกเป็นพิษ(Toxic)กับการเรียนหมอมากเพียงใด แถมพ่อแม่ก็จะไม่ยอมให้เปลี่ยนแน่นอน
  เหมือนแถวๆนี้บางคน อิอิ  เลยต้องทนต่อไป
มันคงดีกว่า ประหยัดเวลากว่า ถ้าไม่ฝืนมาทำอะไรที่ชอบน้อยแต่แรก

ในกรณีที่หนูไม่รู้ว่าจะเรียนอะไรเลย ไม่รู้จริงๆ  นั่นแปลว่าหนูคงต้องเตรียมการให้ตัวเองเพิ่มเติมแล้ว
จะมาดูเพื่อนว่าเขาไปไหน หรืออาจารย์แนะแนวว่ายังไง ไม่ได้ ใครจะรู้จักหนูดีเท่าตัวเอง
ค้นหาตัวเองก่อนดีไหม  ทำความเข้าใจการใช้ชีวิต มองไปรอบๆสังคม ภาพคนไหนที่ติดตาติดใจ
ถ้าเป็นไฮสกูลที่เมืองนอก เด็กจบมัธยมดูเหมือนเค้าจะไม่รีบเรียนมหาลัย จะลองทำงานเล็กๆน้อยๆเรียนรู้ชีวิตดูก่อนปีสองปี
ซึ่งดีนะ เด็กไทยไม่ค่อยมีโอกาสอย่างนั้น

ส่วนที่คิดว่าแพทย์เป็นอาชีพที่ดีที่สุด มันก็ขึ้นกับว่าวัดจากอะไรนะ
โดยมุมมองของผมก็ว่าไม่ใช่นะ  และตอนนี้ก็นึกไม่ออกว่าอาชีพอะไรดีหรือไม่ดี นอกจากมิจฉาชีพ อย่างนี้ไม่ดี
มีเพื่อนผมทำธุรกิจ ก็รวยจะตาย นอนรอเงินงอกเลย
มีเพื่อนเป็นวิศวะ ก็เครียดบ้าง แต่ก็ไม่ได้กดดันอะไร ไปเมืองนอกบ่อย
หมอฟันก็รวยกว่า สบายกว่า ทำงานช่วยเหลือคนเหมือนกัน
มีเรียนวิศวะอีกคนนึง ตอนนี้อยู่องค์การนาซ่าแล้ว
มันมีลู่ทางไปมากมายครับ

ตอนไปเรียนเมืองนอก ถ้าผมไม่ได้ติดทุน จะลงเรียนชิมไวน์แล้วเปลี่ยนอาชีพเป็นsommelierแล้ว
มีไวน์ดีๆให้ผ่านลิ้นตาหลอด โอว สุดยอดอาชีพ

โลกมันกว้างนะ ตั้งแต่เด็กมาคุณรู้จักสักกี่อาชีพ รู้น้อยตัวเลือกก็น้อย

Offline exFictitiouZ

  • *****
  • 456
  • 191
    • exFictitiouZ's Gallery
พี่ก็คล้ายๆแบบนี้เลยครับ ต่างนิดนึงตรงที่พี่ exFict เค้าเก่งฟิสิกมาก และพี่โง่ ฟิสิกมาก และแม่พี่หว่านล้อมแกมบังคับ
อย่าไปเชื่อถือพี่เค้ามากครับ พี่คนนี้เค้าขี้จุ๊  :-\

แต่สังคมเพื่อน ๆ นะสิ  มันมีผลกับการตัดสินใจของเรา  บางทีมันไม่ได้อยู่ที่ชอบไม่ชอบมันจะเลือกตามกระแสนะคะ  ใจเรามักจะคิดให้เอนเอียงไปทางไหนก็ได้  พอถึงเวลาก็เลือกหมอ  เลือกในสิ่งที่ดีกว่า  ซึ่งถ้าเราไม่เลือกหมอ  ในขณะที่เพื่อนเลือกเรียนหมอกัน  เรารู้สึกทำไมเพื่อนเลือกเรียนกัน  เพราะมันเป็นอาชีพที่ดีกว่าอย่างอื่นๆ  เพื่อนเรียนได้  ทำไมเราจะเรียนไม่ได้ประมาณนั้น  เริ่มชักลังเลค่ะ  ตรงนี่สำคัญมากค่ะ  หนูเลยอยากจะขอความกรุณาพี่หมอที่จบทำงานแล้วซัก 10 ปี  พี่ๆ หมอชั้นปีสูงๆ  และพี่หมอทุกขึ้นปี  ที่มีประสบการณ์ตรงนี้  ได้ให้ข้อคิด  คำแนะนำค่ะ
เอาหละครับ มาถึงประเด็นนี้ถึงพี่จะไม่ผ่านเงื่อนไขบุคคลที่น้องอยากให้ตอบ แต่พี่ขอขวางโลกตอบนะครับ
คือเพื่อนน้องเลือกเรียนกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าคณะนี้ดีกว่าคณะอื่น ๆ หรือเปล่าครับ ?
น้องต้องเข้าใจว่าที่เพื่อนน้องเลือกกันเยอะ ประกอบด้วยเหตุผลหลายประการมาก จากที่น้องพิมพ์ไว้ในย่อหน้าแรกด้วย และรวมถึงค่านิยมของสังคมไทยด้วย (ว่ากันตรงไปตรงมาก็พ่อแม่หลายคนอยากให้เรียนหนะหละ)
แล้วมาถึงประเด็นที่น้องบอกว่า อาชีพนี้ดีกว่าอาชีพอื่น คือคำว่าดีมันกว้างมากครับน้อง ดีกว่าแปลว่าอะไร ? ฐานะดีกว่าหรอ หรือว่ามีความสุขกว่า ? เอาเป็นว่าถ้าพี่จะบอกว่าอาชีพนี้ดีกว่าอาชีพอื่นก็เพราะน้องอยากเป็นหมอมากกว่าอาชีพอื่น น้องนึกภาพตัวเองเป็นหมอแล้วมีความสุขกว่า น้องมีความถนัดด้านนี้มากกว่าวิชาอื่น ก็แล้วกันครับ
น้องบอกว่าทำไมเพื่อนเรียนได้ชั้นเรียนไม่ได้ อ้าว ! ถ้าน้องใช้เหตุผลนี้ ยังงี้เด็กคณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะฯลฯ ต้องเรียนอ่อนกว่าเด็กคณะแพทยศาสตร์หรอครับ ? ซึ่งมันก็ไม่ใช่ถูกไหม แค่น้องคะแนนถึงก็เข้าเรียนได้แล้ว ไม่ได้บ่งบอกอะไรเลย และก็ไม่ได้แปลว่าน้องจำเป็นต้องเรียนคณะนี้ด้วยครับ มันอยู่ที่ความชอบและความถนัดต่างหากหละ

วิธีคิดเราควรจะคิดอย่างไร  และมีวิธีปลอบใจตัวเองอย่างไร  เมื่อถึงเวลาแล้วเราไม่เลือกหมอ   ถึงเราจะไม่เลือกหมอเราก็ยังรู้สึกลังเลอีกว่าที่เราเลือกอีก 10 - 20 ปี ข้างหน้าจะดีไหม  ในขณะที่หมอมันเป็นอาชีพที่ดีกว่า  เลือกไปแล้ว  จบไปแล้ว  ทำงานไปแล้ว  ไม่น่าจะผิดหวัง  เพียงแต่อาจจะไม่มีความสุข  สุข ๆ ดิบ ๆ  
อ่านแล้วเหมือนน้องต้องฝืนกล้ำกลืนมากเพื่อจะเรียนหมอและเป็นหมอ ตรงนี้พี่ว่าน้องทราบดีแล้วว่าจะเรียนคณะนี้และจะประกอบอาชีพนี้ต้องอาศัยใจรักและความทุ่มเทสูงมาก เพราะฉะนั้นพี่อนุมานเลยละกันว่าน้องจุดนี้น้องทราบคำตอบดีอยู่แล้ว
ประเด็นว่าน้องจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจได้อย่างไร สำหรับพี่ พี่จะเสียใจกับการตัดสินใจก็ต่อเมื่อพี่ไม่ได้เลือกเอง แต่เลือกเพราะตามน้ำตามเพื่อน หรือตามใจตามพ่อแม่ครับ น้องหละครับ ปกติอะไรทำให้น้องเสียใจกับการตัดสินใจครับ ?
ประเด็นต่อมาที่บอกว่า ไม่น่าผิดหวังแต่อาจจะไม่มีความสุข คือพี่อ่านหลายกระทู้พอตีความได้ว่าน้องหลายคนอนุมานว่าการเรียนหมอคือการเลือกความมั่นคงแทนที่ความสุข
ทำให้พี่อยากจะบอกน้องทุกคนที่อาจจะคิดแนว ๆ นี้ว่า เรียนสิ่งที่น้องไม่ต้องเลือกดีกว่าไหมครับ สิ่งที่ทำให้น้องมีความมั่นคงในระดับหนึ่งและมีความสุขกับการทำงาน (เครดิตพี่ไปป์ครับ พูดได้ดีมาก ๆ +1)
และเรื่องสุดท้ายครับ พี่อยากย้ำหนัก ๆ เลยว่า เรียนคณะไหน ทำอาชีพอะไร ก็มั่นคงได้ สิ่งที่จะกำหนดความสำเร็จของน้องคือความสามารถของน้องเอง ไม่ใช่สาขาที่น้องเลือกเรียน ถ้าสมมุตินาย A เรียนวิศว เรียนเก่งอยู่อันดับบน ๆ มีทักษะดี เขาจะล้มเหลวในชีวิตหรอครับ เขาจะตกงานหรอครับ พี่ว่าไม่มีทางอะ ในทางกลับกัน สมมุตินางสาว B เรียนหมอ แต่เรียนแล้วไม่มีความสุข ไม่ใช่สาขาที่ถนัด จำอะไรไม่ได้เลย เรียนร่วง ๆ หล่น ๆ จบออกมาเป็นหมอแบบมึน ๆ งง ๆ ไม่มั่นใจความรู้สักอย่าง แบบนี้น้องว่าชีวิตประสบความสำเร็จไหมครับ
ประเด็นนี้คล้าย ๆ กับที่พี่ brownies พูดไว้ข้างบนครับ
ขอฝากไว้เท่านี้ครับ

อ.ภุ-ชวงค์  ขอตอบว่า
;D ;D
« Last Edit: May 23, 2010, 09:01:53 pm by exFictitiouZ »

exFictitiouZ on Twitter and Multiply
ATP

May

"สิ่งที่ชอบ"  กับ  "สิ่งที่ต้องทำ"   ในกระทู้อื่นของพี่หมอ  (ถ้าไม่ชอบหมอจะเรียนได้มั๊ย)  หมายถึงอะไร  ช่วยขยายความหน่อยได้มั๊ยครับ

ขอเรียนถามพี่หมอและอาจารย์ครับว่า

-  หมอเรียนหนักมากขนาดไหนครับ  ช่วยกรุณาอธิบายได้ผมเห็นภาพอย่างชัดเจนด้วยครับ  ปี 2 ปี 3  หนักกว่าสมัยเตรียมตัว Ent ตอนอยู่ ม. 6 มากกกว่ามั๊ย ขนาดไหน

-  สมัยอยู่ ม. 6 ร.ร. มีชื่อที่สุดของประเทศไทย  ผมว่าก็เรียนหนักแล้วครับ  ผมหนักตั้งแต่ ม. 4 - ม. 6  เลิกเรียนรีบกลับบ้านอ่านหนังสือ  หรือบางวันก็เรียนพิเศษ  ทานข้าวเสร็จก็อ่านหนังสือตลอด ไม่เคยเล่นเกมส์  ไม่เคยเน็ต (ยกเว้นหลังสอบเสร็จ)  เสาร์-อาทิตย์  เรียนพิเศษ 1 วัน  เลิกเรียนพิเศษกลับบ้านดูหนังสือ  วันอาทิตย์ดูหนังสือ  ในช่วง ม. ปลายตลอด 3 ปี ครอบครัวไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัด  ใน 1 ปี ทานข้าวนอกบ้านมื้อเย็นนับครั้งได้  ตอนสอบเข้าลำดับที่ 600 กว่า  ผมขยันปรับขึ้นมาอยู่ในลำดับที่น่าพอใจ  วันหนึ่งนอนประมาณ 4 - 5  ชั่วโมง  ประมาณ 06.15 น. ตื่นนอน  เพื่อเตรียมตัวเดินทางไป ร.ร.  ที่เล่ามานี้ผมอยากทราบว่า  หากเปรียบเทียบในช่วง ม. ปลาย  ตามที่เล่ามา  กับ  การเรียนหมอตั้งแต่ปี 2 - 6  หนักกว่ามั๊ย  มากน้อยแค่ไหนอย่างไร  ในแต่ละชั้นปี

-  มีความเครียดมากน้อยแค่ไหน  และหากเทียบกับความเครียดช่วง ม. 6 เตรียมตัวสอบ Ent 

ทุกข้อไม่ต้องกลัวว่าจะตัดกำลังใจรุ่นน้องครับ  กรุณาเขียนได้ตามความเป็นจริงเลยคับ  ผมกำลังมีน้องอีกคนที่กำลังเรียน ม. 6


ขอบคุณมากครับ


เอมมี่

แล้วถ้าหนูเป็นคนเรียนกลาง ๆ (ถ้าขยันมันคงดีขึ้น)  8)

จะเรียนหมอได้ไหมอ่าา


อยากเป็นหมอชนบท(มาก ๆ )แต่แม่บอกมันลำบาก

แต่ก้อยากจาเป็น เห็นหมอต้วงเขาเสียสละไม่รับเงินค่าผ่าตัดแล้วเป็นกำลังใจมาก ๆ เลย ><

หุหุ พี่ๆ กับอาจารย์โพสกันดีจังเลย  :'(

ตอนนี้ โลกมันเปลี่ยนไปเยอะ อาชีพใหม่ๆ ทำธุรกิจ ถ้าไม่เจ๊งเงินงอกเร็วกว่าหมอก็เยอะ
บอร์ดฯปตท. ก็วิศวะจุฬา

เรียนในสิ่งที่ชอบก็โอนะ เพราะ สิ่งที่ชอบมันให้แรงบันดาลใจ ให้โอกาสที่จะประสบความสำเร็จมากกว่า เป็นหมอธรรมดากับเป็นวิศวะที่ใครๆก็ต้องการตัว อย่างหลังมันก็น่าจะดีกว่าใช่ป่ะ...ที่สำคัญที่ใครๆก็บอกไว้ ต้องการให้ชีวิตตัวเองในอนาคตเป็นอย่างไร ก็เลือกสิ่งที่มันจะตอบโจทย์ของตัวเองได้แหละ :)

เพียงพึงใจรักจาอักษร

เราอายุ 17 ปีนะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ เราคิดว่าแค่เพียงคำพูดไม่กี่ประโยคของเราที่ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นตัวอักษร จะมีประโยชน์ต่อเจ้าของกระทู้นะคะ คือ เราก็เคยมีความรู้สึกแบบเดียวกับเจ้าของกระทู้นะคะ ตอนนั้นอยากเป็นวิศวะมาก คลั่งวิศวะมากอ่ะค่ะ พอจบ ม. 3 เราก็เลยลองสอบเตรียมวิศวะพระจอมเกล้าพระนครเหนือดู อยากเข้าไฟฟ้าค่ะ ผลปรากฏว่าติดโยธาค่ะ แฮ่ แฮ่ หัวไม่ค่อยดีอ่ะค่ะ ชั่งใจอยู่เหมือนกันนะคะ ว่าจะเรียนดีหรือเปล่า แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะเรียนค่ะ ทั้งๆที่รู้นะว่าตัวเองไม่ค่อยชอบคำนวณ แล้วก็ไม่เก่งคำนวณด้วย คือหัวช้าอ่ะค่ะ แต่ที่มาเพราะคิดว่าตัวเองชอบอ่ะค่ะ เหมือนตามกระแสแบบเจ้าของกระทู้แหละ เท่ไงคะ ตามที่เราได้ไปสัมผัสมานะคะ วิศวะเค้าไม่เรียนชีวะอ่ะค่ะที่นี่ แต่ที่อื่นไม่ทราบค่ะ ที่เรารู้สึกว่าวิศวะต้องถนัดมากๆ ก็คือ คณิต กับ ฟิสิกส์เนี่ยแหละ หินมากอ่ะที่นี่(สำหรับเรานะ) แล้วก็จะต้องเรียนวิชาช่างควบคู่ไปด้วยนะคะ อยู่หัวด้วย ยากจริงๆ สำหรับเด็กอายุ 15-16 อย่างเราตอนนั้น ตอนนั้นเค้ารีไทร์ต่ำกว่า 2.00 ค่ะ พอเกรดออกมาเราได้ 2.20 ค่ะ แต่ คณิต D=1 ฟิ D=1 เคมี D=1 ค่ะ ส่วน A=4 เพียงวิชาเดียวของเราในตอนนั้น คือ ภาษาไทยค่ะ ได้ 90 คะแนน เราเลยรู้ซึ้งแล้วว่า ผลของการที่เราต่อต้านต่อความถนัดและความชอบในใจของเรามันเป็นยังไง โทษทีนะคะ เราลืมบอกไปว่าเราชอบเรียนภาษาไทยมากๆ ค่ะ ชอบตั้งแต่จำความได้ แล้วพอเราเรียนต่อมา เรารู้สึกว่ามันมันมีความสุขจริงๆนะคะ มันเหมือนไม่ใช่ตัวเรา มันเหมือนแบบวันๆ อยู่แต่กับอะไรก็ไม่รู้ประมาณนี้อ่ะค่ะ ทั้งคิดถึงบ้านก็คิดถึง เราเลยคิดว่าถ้าเราได้เรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ เราคงไม่เป็นแบบนี้ ถึงจะยากเย็นแค่ไหน เราก็คงมีแรงใจที่จะสู้ ที่จะผลักดันตัวเองให้ดั้นด้นไปมากกว่านี้ เราเลยตัดสินใจลาออกเลยค่ะ ทั้งๆ ที่จ่ายค่าเทอมไปแล้วด้วย เอาคืนก็ไม่ได้ด้วย บางคนคงคิดว่าเราโง่ด้วยแหละค่ะ แต่ก็จริงๆ เราเขลาเอง ปรึกษาพ่อแม่แล้วพ่อแม่ก็บอกว่า ยอมเสียเงิน ดีกว่าให้ลูกต้องลำบากใจ ถ้าไม่ไหว ก็ออกมาเรียนม.ปลาย กับพ่อ ซาบซึ้งในพระคุณท่านมากค่ะ หลังจากนั้นเราก็รอสอบม.ปลาย ซิ่ว ปีนึงค่ะ แต่เราก็คิดในแง่บวกว่ามองอีกมุมนึงมันก็คุ้มนะคะ เพราะสิ่งที่เราได้มา คือ ประสบการณ์ชีวิต ที่อ่านจากตำราไหนไม่ได้ ประสบการณ์ราคาแพงที่หาซื้อจากที่ไหนไม่ได้ค่ะ พอเรามาเรียนม.ปลาย ความรู้สึกเราเหมือนคนละโลกกับที่นั่นเลย คุณเจ้าของกระทู้ก็อย่าเอาความคิดเราเป็นหลักแล้วกันค่ะ ฟังหลายๆเหตุผล หลายๆความคิด เพราะเราเองก็แค่เด็กอายุ 17 อาจยังอ่อนประสบการณ์ เพราะถ้าเป็นคุณเจ้าของกระทู้เอง อาจทนเรียนจนจบไม่ลาออกเหมือนเราก็ได้นะคะ
แต่เราก็แค่อยากแบ่งปันประสบการณ์ของเราให้ฟังบ้าง อยากเป็นเสียงเล็กๆ ในการตัดสินใจของคุณเจ้าของกระทู้บ้างอ่ะค่ะ สำหรับเราทุกวันนี้ก็มีความสุขดีค่ะ ชีวิตม.ปลาย บ้านใกล้โรงเรียน อิอิ พ่อแม่เราท่านก็ดีตรงที่ท่านไม่เคยบังคับเราเลยนะคะ ท่านบอกอยากให้เราตัดสินใจเอง ขอแค่เป็นงานที่เรารัก สุจริต ทำแล้วสบายใจ ไม่ให้ใครเค้ามาดูถูกได้ ว่าโตแล้วยังแบมือขอเงินพ่อแม่อยู่ ดูแลท่านได้ เป็นคนดี รายได้ไม่ต้องถึงกับทำงานไม่กี่ปีออกรถออกบ้านก็ได้ ท่านก็พอใจแล้วแหละค่ะ(ท่านว่านะคะ อิอิ) สุดท้ายก็ไม่มีอะไรมากค่ะ ก็แค่อยากให้คุณเจ้าของกระทู้คิดให้ดีๆแล้วกันค่ะ ว่าเป้าหมายจริงๆต้องการแบบไหน ถ้าไม่ชอบจริงๆ จะทนอยู่ได้ไหม หรือจะเป็นแบบเรา เพราะคนเราไม่เหมือนกันหรอกค่ะ แต่ถ้าเราขอออกความเห็นนิดนึงคงไม่ว่ากันนะ เพราะจากที่เราอ่านมาเราว่าเจ้าของกระทู้เหมือนจะเหมาะไปทางวิศวะอ่ะค่ะ วิศวะเรียนฟิสิกส์ถึงใจเลยนะคะ(เท่าที่เราเคยเรียนเตรีมวิศวะมา) ยังไงๆ ก็ขอให้เจ้าของกระทู้โชคดีแล้วกันนะคะ เฮง เฮง เฮง ค่ะ ส่วนเราตอนนี้รู้สึกว่าอยากเข้าอักษรศาสตร์ เอกภาษาไทยค่ะ ถ้าติดจุฬาก็ป็นบุญแหละค่ะ  เพราะหัวไม่ค่อยดี ต้องขยันหน่อย คงไม่ติดซะหละมั๊งคะเราเนี่ย เจ้าของกระทู้เก่งอยู่แล้ว ก็ไปให้ถึงดวงดาวนะคะ ไปให้ถึงฝันค่ะ เราเอาใจช่วยนะคะ ง่วงค่ะ สวัสดีค่ะ
ปล.เพื่อนเราคนนึงเป็นผู้ชายค่ะ พ่อมันเป็นวิศวะโยธา เลยอยากให้ลูกเรียนวิศวะ เด็กเส้นด้วยนะคะ พอมันเห็นเราจะลาออก ก็ได้มันเนี่ยแหละค่ะช่วยทำเรื่องให้ มันก็อยากออกเหมือนเรา แต่ทำไม่ได้ค่ะ พ่อบังคับ เกรดมันโดนไทร์ด้วยนะคะ 1.40 อ่ะค่ะ แต่มันไม่โดนไทร์ค่ะ (สงสัยเส้นใหญ่จริง) แต่ตัวมันอยากเป็นนักดนตรีค่ะ กำ!!!